การส่งบทความ

ขณะนี้วารสารยังไม่เปิดรับการส่งบทความ

ข้อกำหนดการส่งบทความ

ในขั้นตอนการส่งบทความ ผู้แต่งต้องตรวจสอบและยืนยันว่าปฏิบัติตามข้อกำหนดการส่งบทความทุกข้อ บทความที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดอาจถูกส่งคืนให้ผู้แต่งดำเนินการแก้ไข
  • บทความเรื่องนี้ยังไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ในระหว่างการพิจารณาเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น (หากมีกรุณาอธิบายในข้อความถึงบรรณาธิการ)
  • ไฟล์บทความที่ส่งต้องเป็นรูปแบบไฟล์นามสกุล .docx พร้อมแบบฟอร์มประเภทบทความที่กำหนดไว้
  • ภาพประกอบ และตารางขอให้ส่งเป็นไฟล์ภาพแยกต่างหาก จำนวนรวมไม่เกิน 5 ชิ้น
  • ข้อความต้องเป็นไปตามข้อกำหนดด้านรูปแบบและเอกสารอ้างอิงที่ระบุไว้ในคำแนะนำผู้นิพนธ์

คำแนะนำผู้แต่ง

วารสารการสร้างเสริมสุขภาพไทย : Thai Health Promotion Journal

วารสารการสร้างเสริมสุขภาพไทยจัดทำโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความข้อมูลวิชาการทางสุขภาพในมิติที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพ โดยรับบทความทางวิชาการทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

1. ประเภทบทความ
วารสารการสร้างเสริมสุขภาพไทย เปิดรับบทความประเภทต่างๆ ดังนี้

• นิพนธ์ต้นฉบับ (Original Article) เป็นรายงานผลการค้นคว้าวิจัยของผู้เขียน ซึ่งไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารอื่น เป็นบทความที่ให้ความรู้ใหม่ สิ่งตรวจพบใหม่ หรือเรื่องที่น่าสนใจที่ผู้อ่านนำไปประยุกต์ได้ รูปแบบของบทความมีเนื้อหาตามลำดับดังนี้ ชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คำสำคัญ บทนำ (และวัตถุประสงค์ของการวิจัย) วิธีการศึกษา ผลการศึกษา วิจารณ์ กิตติกรรมประกาศ และเอกสารอ้างอิง ความยาวของบทความไม่ควรเกิน 10 หน้าพิมพ์ ทั้งนี้ในส่วนของชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คำสำคัญ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

• บทความฟื้นวิชา (Review Article) ควรเป็นบทความที่รวบรวมความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งจากวารสารหรือหนังสือต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ โดยเป็นเรื่องที่ค้นพบใหม่หรือน่าสนใจ รูปแบบของบทความประกอบด้วย ชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คำสำคัญ บทนำ (และวัตถุประสงค์ของบทความ) ความรู้หรือข้อมูลที่ทันสมัยเกี่ยวกับเรื่องที่นำมาเขียน วิจารณ์หรือวิเคราะห์ (รวมบทสรุป) เอกสารอ้างอิง ความยาวของเรื่องไม่ควรเกิน 10 หน้าพิมพ์ ทั้งนี้ในส่วนของชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คำสำคัญ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

• บทความพิเศษ (Special Article หรือ Commentary) เป็นบทความแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่อยู่ในความสนใจเป็นพิเศษหรือเป็นบทความเกี่ยวกับงานหรือนโยบายด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งอาจรวมข้อคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและบทวิจารณ์ที่เกี่ยวข้อง บทความเสนอความรู้ทั่วไป รูปแบบของบทความประกอบด้วย ชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คำสำคัญ บทนำ (และวัตถุประสงค์ของบทความ) ประเด็นรายละเอียดของเรื่องที่นำมาเขียน วิจารณ์หรือวิเคราะห์(รวมบทสรุป) เอกสารอ้างอิง ทั้งนี้ในส่วนของชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คำสำคัญ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวของเรื่องไม่ควรเกิน 10 หน้าพิมพ์

• กรณีศึกษา (Case Report) เป็นรายงานกรณีศึกษาด้านสุขภาพในด้านต่างๆ หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยรายงานมาก่อน เป็นกรณีตัวอย่าง หรือกรณีที่น่าสนใจ รูปแบบของบทความประกอบด้วย ชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คำสำคัญ บทนำ (และวัตถุประสงค์ของบทความ) ประเด็นรายละเอียดของกรณีศึกษาที่นำมาเขียน วิจารณ์หรือวิเคราะห์ (รวมบทสรุป) เอกสารอ้างอิง ทั้งนี้ในส่วนของชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คำสำคัญ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวของเรื่องไม่ควรเกิน 10 หน้าพิมพ์

• ปกิณกะ (Miscellaneous) เป็นบทความสั้น ที่เกี่ยวข้องกับด้านการสร้างเสริมสุขภาพ (ทั้งด้านพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม) ที่เป็นประโยชน์หรือบทความที่ส่งเสริมความเข้าใจอันดีแก่ผู้ปฏิบัติงานในวงการแพทย์และสาธารณสุข รูปแบบของบทความประกอบด้วย ชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงาน ประเด็นรายละเอียดที่นำมาเขียน และเอกสารอ้างอิง ทั้งนี้ในส่วนของชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คำสำคัญ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวของเรื่องไม่เกิน 3 หน้าพิมพ์

• จดหมายถึงบรรณาธิการ (Letter to the editor หรือ Correspondence) เป็นจดหมายที่เขียนวิจารณ์เกี่ยวข้องกับบทความที่ได้ลงตีพิมพ์ไปแล้ว หรือแสดงผลงานทางวิชาการที่ต้องการเผยแพร่อย่างย่อๆ ความยาวไม่เกิน 2 หน้ากระดาษพิมพ์และมีเอกสารอ้างอิงประกอบ

2. การเตรียมต้นฉบับ
คำแนะนำต่อไปนี้ใช้สำหรับการเตรียมบทความทางวิชาการที่เป็นนิพนธ์ต้นฉบับ แต่หลายหัวข้อก็ใช้สำหรับบทความประเภทอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ผู้สนใจสามารถศึกษารูปแบบจากบทความแต่ละประเภทในวารสารฉบับที่พิมพ์เผยแพร่ไปแล้ว

• ชื่อเรื่อง ควรสั้น กะทัดรัด และสื่อถึงเป้าหมายหลักของการศึกษา ไม่ใช้คำย่อ ความยาวไม่เกิน 100 ตัวอักษร ควรต้องมีภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

• ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อผู้นิพนธ์ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไม่ระบุตำแหน่งหน้าที่การงานหรือตำแหน่งทางวิชาการ ไม่ใช้คำย่อ ระบุหน่วยงานหรือสถานที่ผู้นิพนธ์ทำงาน ระบุชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์สำนักงาน และโทรศัพท์มือถือ รวมทั้ง e-mail ของผู้นิพนธ์ที่ใช้ติดต่อ (Corresponding author) ผู้นิพนธ์ที่มีที่ทำงานหลายแห่งก็ให้ระบุที่ทำงานหลักเพียงแห่งเดียว

• บทคัดย่อ (Abstract) เป็นเนื้อความย่อตามลำดับโครงการสร้างของบทความโดยมีทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ โดยสรุปให้สั้นกะทัดรัด หรือไม่เกิน 300-350 คำ ใช้ภาษารัดกุมเป็นประโยคสมบูรณ์มีความหมายในตัวเองไม่ต้องหาความหมายต่อ ไม่ควรมีคำย่อ รูปแบบของบทคัดย่อเป็นแบบย่อหน้าเดียว

• คำสำคัญ หรือคำหลัก (Keywords) ใส่ไว้ท้ายบทคัดย่อ มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ไม่ควรต่ำกว่า 3 คำ แต่ละคำคั่นด้วยเครื่องหมายอัฒภาค (semicolon ";") อาจเป็นหัวข้อเรื่องหรือประเด็นสำหรับช่วยในการค้นหาบทความ โดยอาจใช้Medical Subject Headings (MeSH) terms ของ U.S National Library of Medicine เป็นแนวทางการให้คำสำคัญหรือคำหลัก คำสำคัญภาษาอังกฤษทุกคำเป็นอักษรตัวเล็ก ยกเว้นเป็นคำนามเฉพาะ

• บทนำ (Introduction) เป็นส่วนหนึ่งของบทความที่บอกเหตุผล นำไปสู่การศึกษา เป็นส่วนที่อธิบายให้รู้ปัญหา ลักษณะ และขนาด เป็นการนำไปสู่ความจำเป็นในการศึกษาวิจัยให้ได้ผลเพื่อแก้ปัญหาหรือตอบคำถามที่ตั้งไว้ หากมีทฤษฎีที่จำเป็นต้องใช้ในการศึกษา อาจวางพื้นฐานไว้ในส่วนนี้ได้แต่ไม่ต้องทบทวนวรรณกรรมที่ไม่เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของการศึกษา และให้รวมวัตถุประสงค์ของการศึกษาอยู่ในย่อหน้าสุดท้ายหรือเป็นย่อหน้าสุดท้ายของบทนำ

• วิธีการศึกษา (Methods) ประกอบด้วยเนื้อหาต่างๆ คือ (1) รูปแบบแผนการศึกษา (study design, protocol) เช่น randomized double blind, descriptive หรือ quasi-experiment (2) กลุ่มตัวอย่าง ขนาดตัวอย่าง วิธีการสุ่มตัวอย่าง เช่น การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย แบบหลายขั้นตอน (3) วิธีหรือมาตรการที่ศึกษา (interventions) เช่น กระบวนการศึกษา การดำเนินงาน แนวทางและวิธีการ ถ้าเป็นมาตรการที่รู้จักทั่วไป ให้ระบุชื่อของมาตรการพร้อมระบุเอกสารอ้างอิง ถ้าเป็นวิธีใหม่อธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจแล้วนำไปใช้ต่อได้ (4) ระบุวิธีการหรือเครื่องมือในการเก็บข้อมูล เช่น การใช้แบบสำรวจ การแบบสัมภาษณ์ การประชุมกลุ่ม หรือใช้แบบสอบถาม การทดสอบความเชื่อถือ (5) วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล และสถิติที่ใช้และ (6) การได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัย ทั้งนี้ หากกระบวนการวิจัยมีการกำหนดนิยามเฉพาะสำหรับการวิจัยนั้นๆ ก็ระบุคำนิยามที่ใช้ด้วยก็ได้

• ผลการศึกษา (Results) แสดงผลที่พบตามลำดับหัวข้อของแผนการศึกษาอย่างชัดเจน ดูง่าย ถ้าผลไม่ซับซ้อนไม่มีตัวเลขมาก แต่ถ้าตัวเลขมาก ตัวแปรมาก ควรใช้ตารางหรือแผนภูมิโดยไม่ต้องอธิบายตัวเลขในตารางซ้ำในเนื้อเรื่อง ยกเว้นข้อมูลสำคัญๆ แปลความหมายของผลที่ค้นพบ

• วิจารณ์(Discussion) แสดงบทวิจารณ์ผลการศึกษาว่าเกิดความรู้ใหม่ในประเด็นใด สิ่งที่ค้นพบตรงกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย หรือแตกต่างไปจากผลงานที่มีผู้รายงานไว้ก่อนหรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด วิจารณ์ผลการศึกษาอย่างไม่ปิดบัง อาจแสดงความเห็นเบื้องต้นตามประสบการณ์หรือข้อมูลที่มีเพื่ออธิบายส่วนที่โดดเด่นแตกต่างเป็นพิเศษหรือข้อจำกัดของการวิจัยได้ ควรมีข้อสรุปว่า ผลที่ได้ตรงกับวัตถุประสงค์การวิจัยหรือไม่ และให้ข้อเสนอแนะที่นำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์หรือให้ประเด็นคำถามที่ควรมีการวิจัยต่อไป

• ตารางและภาพ บทความเรื่องหนึ่งๆ ไม่ควรมีตารางหรือภาพมากเกินไป จำนวนที่เหมาะสมคือ 1–5 ตารางหรือภาพ โดยมีลำดับที่และชื่อของตารางหรือภาพอยู่ด้านบน ภาพที่ใช้ควรภาพเป็นที่มีความชัดเจนสูง อาจเป็นไดอะแกรม ภาพวาด ภาพถ่าย หรือกราฟที่ทำจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แม้จะใส่ภาพในบทความแล้ว ก็ควรส่งแยกเป็นไฟล์ต่างหากร่วมด้วย ภาพที่ใช้ทุกภาพต้องไม่แสดงใบหน้าของบุคคล และปลอดจากการมีลิขสิทธิ์ที่ไม่ใช่เป็นของผู้เขียน ทั้งนี้ แต่ละตารางหรือภาพที่ใช้จะต้องมีการอ้างถึงในเนื้อเรื่อง

• กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) ในกรณีที่ต้องการระบุคำขอบคุณผู้ให้ความช่วยเหลือ ให้จัดทำเป็นย่อหน้าเดียว แจ้งให้ทราบว่ามีการช่วยเหลือที่สำคัญจากผู้ใด เช่น ผู้บริหาร ผู้ช่วยเหลือทางเทคนิคบางอย่าง และสนับสนุนทุนการวิจัยเท่าที่จำเป็น

• เอกสารอ้างอิง (References) เป็นการรวบรวมรายชื่อเอกสารที่ใช้อ้างอิงข้อความในเนื้อเรื่อง โดยการอ้างอิงจะใช้เป็นตัวเลขในวงเล็บวางบนไหล่บรรทัดท้ายประโยคที่ถูกอ้าง ในการเขียนเอกสารอ้างอิง ให้ใช้ระบบ Vancouver เรียงลำดับก่อนหลังตามที่ปรากฏในเนื้อเรื่อง ส่วนรายชื่อของเอกสารที่ใช้อ้างอิงนั้น จะนำมาเรียงในส่วนของเอกสารอ้างอิงท้ายเรื่อง ทั้งนี้ตัวเลขที่กำกับในเนื้อเรื่องจะต้องสอดคล้องกับลำดับที่ในรายการอ้างอิงท้ายบทความ

3. แนวทางการเขียนเอกสารอ้างอิง
การเขียนเอกสารอ้างอิงในวารสารการสร้างเสริมสุขภาพไทยปรับปรุงจากระบบแวนคูเวอร์ (Vancouver system) มีหลักเกณฑ์การเขียน ดังนี้

A. การอ้างอิงบทความจากวารสาร

• รูปแบบพื้นฐาน ลำดับที่อ้างอิง. ชื่อผู้แต่ง. ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร ปีพิมพ์; ปีที่ (Volume) วารสาร: หน้าแรก-หน้าสุดท้าย. ตัวอย่าง เช่น

  1. Lohan M. How might we understand men's health better? Integrating explanations from critical studies on men and inequalities in health. Soc Sci Med 2007;65:493–504.

  2. สถาพร เปาอินทร์. ปัจจัยเสี่ยงต่ออาการเสียชีวิตของผู้ป่วยสูงอายุใน 2 ปีแรกหลักผ่าตัดกระดูกต้นขาหัก บริเวณส่วนคอทั้งในกลุ่มที่ใช้ซีเมนต์และกลุ่มที่ไม่ใช้ซีเมนต์. วารสารวิชาการสาธารณสุข 2554;20:548-55.

โปรดสังเกตเครื่องหมายวรรคตอนที่ใช้เพราะเอกสารอ้างอิงทุกรายการจะใช้เครื่องหมายวรรคตอนเป็นแบบมาตรฐานเดียวกัน

• คำอธิบายข้อมูลในรูปแบบพื้นฐาน

  1. ชื่อผู้แต่ง อาจจะหมายถึง ผู้เขียน ผู้แปล ผู้รวบรวม บรรณาธิการ หรือหน่วยงาน
  • ผู้แต่งที่เป็นชาวต่างประเทศให้เขียนชื่อสกุลขึ้นก่อนตามด้วยอักษรย่อของชื่อต้นและชื่อกลางโดยไม่ต้องมีเครื่องหมายใดๆ คั่น
  • ชื่อผู้แต่งเป็นคนไทย ให้เขียนแบบภาษาไทย โดยการเขียนชื่อและนามสกุลเป็นคำเต็ม แต่ถ้าเป็นบทความภาษาอังกฤษ ก็ใช้แบบเดียวกับเอกสารที่ผู้แต่งเป็นชาวต่างประเทศ
  • ถ้าผู้แต่งมีหลายคนแต่ไม่เกิน 6 คน ให้ใส่ชื่อทุกคน โดยใช้เครื่องหมายจุลภาค (comma – ",") คั่นระหว่างแต่ละคน และหลังชื่อสุดท้ายใช้เครื่องหมายมหัพภาค (full stop หรือ dot – ".") กรณีผู้แต่งเกิน 6 คน ให้ใส่ชื่อผู้แต่ง 6 คนแรก คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค (comma- ",") และตามด้วย et al. สำหรับบทความภาษาอังกฤษ หรือ "และคณะ" สำหรับบทความภาษาไทย
  1. ชื่อบทความ
  • บทความเป็นภาษาอังกฤษ ชื่อบทความใช้อักษรตัวใหญ่เฉพาะตัวแรก นอกจากนั้นใช้อักษรตัวเล็กทั้งหมด ยกเว้นคำเฉพาะ เช่น ชื่อคน ชื่อหน่วยงาน หรือชื่อสถานที่ เมื่อจบชื่อบทความให้ใช้เครื่องหมายมหัพภาค (full stop - .)
  • บทความภาษาไทย ให้เขียนแบบคำไทย
  1. ชื่อวารสารที่นำมาอ้างอิง
  • ใช้ชื่อย่อตามมาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ใน Index Medicus โดยตรวจสอบได้จาก Journals in NCBI Databases จัดทำโดย National Library of Medicine (NLM) ซึ่งคำย่อเหล่านี้ได้ยึดตามกฎการเขียนคำย่อของ American National Standard for Information Sciences-Abbreviation of Titles of Publications. แต่ถ้าไม่ทราบ ก็ใช้ชื่อเต็มของวารสาร
  • สำหรับวารสารภาษาไทยยังไม่มีชื่อย่ออย่างเป็นทางการ ให้ใช้ชื่อเต็มที่ปรากฏที่หน้าปก เช่น วารสารวิชาการสาธารณสุข พุทธชินราชเวชสาร จดหมายเหตุทางการแพทย์จุฬาลงกรณ์เวชสาร เชียงใหม่เวชสาร สารศิริราช ฯลฯ
  1. ใช้ปีพ.ศ. สำหรับวารสารภาษาไทย หรือ ค.ศ. สำหรับวารสารภาษาอังกฤษ และปีที่พิมพ์หรือ volume และฉบับที่ (number/issue) ไม่ต้องใส่เดือนหรือวันที่พิมพ์

  2. เลขหน้า (Page) ให้ใส่เลขหน้าแรก-หน้าสุดท้าย โดยใช้ตัวเลขเต็มสำหรับหน้าแรก และตัวเลขซ้ำออกสำหรับเลขหน้าสุดท้าย เช่น หน้า 10-18 ใช้10-8. หน้า S104-S111 ใช้S104-11. หน้า 198-201 ใช้198-201. หน้า 104S-111S ใช้104S-11S.

B. การอ้างอิงเอกสารที่เป็นหนังสือหรือตำราแบ่ง เป็น 2 ลักษณะ

1) การอ้างอิงทั้งหมด รูปแบบพื้นฐาน: ลำดับที่อ้างอิง. ชื่อผู้แต่ง. ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์(edition). เมืองที่พิมพ์: สำนักพิมพ์; ปีที่พิมพ์. ตัวอย่างเช่น

  1. World Health Organization. Policy approaches to engaging men and boys in achieving gender equality and health equity. Geneva: World Health Organization; 2010.

  2. รังสรรค์ปัญญาธัญญะ. โรคติดเชื้อของระบบประสาทกลางในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร: เรือนแก้วการพิมพ์; 2536.

โปรดสังเกตเครื่องหมายวรรคตอนที่ใช้เพราะเอกสาร อ้างอิงทุกรายการจะใช้เครื่องหมายวรรคตอนเป็นแบบมาตรฐานเดียวกัน

• คำอธิบายข้อมูลในรูปแบบพื้นฐาน

  1. ชื่อผู้แต่ง อาจจะเป็นบุคคล หน่วยงาน บรรณาธิการ (editor) หรือคณะบรรณาธิการ (editors) ให้ใช้ข้อกำหนดเดียวกันกับชื่อผู้แต่งในการอ้างอิงบทความจากวารสาร

  2. ชื่อหนังสือ ให้ใช้ตัวอักษรตัวใหญ่เฉพาะอักษรตัวแรกของชื่อหนังสือ

  3. ครั้งที่พิมพ์(Edition) ถ้าเป็นการพิมพ์ครั้งที่ 1 ไม่ต้องใส่ส่วนนี้

  4. เมืองที่พิมพ์หรือสถานที่พิมพ์(Place of publication) ให้ใส่ชื่อเมืองที่สำนักพิมพ์ตั้งอยู่ถ้ามีหลายเมืองให้ใช้เมืองแรก ถ้าเมืองไม่เป็นที่รู้จักให้ใส่ชื่อย่อของรัฐหรือประเทศ ถ้าหากไม่ปรากฏเมืองที่พิมพ์ให้ใช้คำว่า n.p. ซึ่งย่อมาจาก no place of publication และภาษาไทยใช้คำว่า ม.ป.ท. ย่อมาจากคำว่าไม่ปรากฏสถานที่พิมพ์

  5. สำนักพิมพ์ให้ใส่เฉพาะชื่อสำนักพิมพ์ตามที่ปรากฏในหนังสือ แล้วตามด้วยเครื่องหมายอัฒภาค (semicolon - ;)

  6. ปีพิมพ์(Year) ให้ใส่เฉพาะตัวเลข ปีพ.ศ. ถ้าเป็นหนังสือภาษาไทย หรือ ค.ศ. ถ้าเป็นหนังสือภาษาต่างประเทศ แล้วจบด้วยเครื่องหมายมหัพภาพ หรือ full stop (.)

2) การอ้างอิงบทหนังสือที่มีผู้เขียนเฉพาะบท รูปแบบพื้นฐาน: ลำดับที่อ้างอิง. ชื่อผู้เขียน. ชื่อบท. ใน หรือ In: ชื่อบรรณาธิการ/editor(s). ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์. เมืองที่พิมพ์: สำนักพิมพ์; ปีพิมพ์. หน้า/P. หน้าแรก-หน้าสุดท้าย. ตัวอย่าง เช่น

  1. Smith J, Richardson N, Robertson S. Applying a gender lens to public health discourses on men's health. In: J Gideon, editor. Handbook on gender and health. Cheltenham: Edward Elgar Publishers; 2016. p. 117–33.

  2. เกรียงศักดิ์จีระแพทย์. การให้สารน้ำและเกลือแร่. ใน: มนตรีตู้จินดา, วินัย สุวัตถี, อรุณ วงษ์จิราษฎร์, ประอร ชวลิตธำรง, พิภพ จิรภิญโญ, บรรณาธิการ. กุมารเวชศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: เรือนแก้วการพิมพ์; 2540. หน้า 424-78.

โปรดสังเกตเครื่องหมายวรรคตอนที่ใช้เพราะเอกสารอ้างอิงทุกรายการจะใช้เครื่องหมายวรรคตอนเป็นแบบมาตรฐานเดียวกัน

C. เอกสารอ้างอิงที่เป็นหนังสือประกอบการ ประชุม/รายงานการประชุม (Conference proceeding)

• รูปแบบพื้นฐาน ลำดับที่อ้างอิง. ชื่อหน่วยงานจัดประชุมหรือชื่อบรรณาธิการ. ชื่อเรื่อง. ชื่อการประชุม; วัน เดือน ปีที่ประชุม; สถานที่จัดประชุม. เมืองที่พิมพ์: สำนักพิมพ์; ปีพิมพ์. ตัวอย่าง เช่น

  1. Kimura J, Shibasaki H, editors. Recent advances in clinical neurophysiology. Proceedings of the 10th International Congress of EMG and Clinical Neurophysiology; 1995 Oct 15-19; Kyoto, Japan. Amsterdam: Elsevier; 1996.

โปรดสังเกตเครื่องหมายวรรคตอนที่ใช้เพราะเอกสารอ้างอิงทุกรายการจะใช้เครื่องหมายวรรคตอนเป็นแบบมาตรฐานเดียวกัน

D. การอ้างอิงบทความที่นำเสนอในการประชุม หรือสรุปผลการประชุม (Conference paper)

• รูปแบบพื้นฐาน ลำดับที่อ้างอิง. ชื่อผู้เขียน. ชื่อเรื่อง. ใน/In: ชื่อ บรรณาธิการ, บรรณาธิการ/editor. ชื่อการประชุม; วัน เดือนปีที่ประชุม; สถานที่จัดประชุม, เมืองที่ประชุม. เมือง ที่พิมพ์: ปีที่พิมพ์. หน้า/p. หน้าแรก-หน้าสุดท้าย. ตัวอย่าง เช่น

  1. Bengtsson S, Solheim BG. Enforcement of data protection, privacy and security in medical informatics. In: Lun KC, Degoulet P, Piemme TE, Rienhoff O, editors. MEDINFO 92. Proceedings of the 7th World Congress on Medical Informatics; 1992 Sep 6-10; Geneva, Switzerland. Amsterdam: North-Holland; 1992. p. 1561-5.

โปรดสังเกตเครื่องหมายวรรคตอนที่ใช้เพราะเอกสารอ้างอิงทุกรายการจะใช้เครื่องหมายวรรคตอนเป็นแบบมาตรฐานเดียวกัน

E. เอกสารอ้างอิงที่เป็นวิทยานิพนธ์์ ให้เขียนรายการ อ้างอิง ดังนี้

• รูปแบบพื้นฐาน ลำดับที่อ้างอิง. ชื่อผู้นิพนธ์. เรื่อง [ประเภท/ระดับปริญญา]. เมืองที่พิมพ์: มหาวิทยาลัย; ปีที่ได้รับปริญญา. จำนวนหน้า. ตัวอย่าง เช่น

  1. Kaplan SJ. Post-hospital home health care: the elderly's access and utilization [dissertation]. St. Louis, MO: Washington University; 1995. 111 p.

  2. อังคาร ศรีชัยรัตรชนกูล. การศึกษาเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง [วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์-มหาบัณฑิต]. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2543. 80 หน้า.

โปรดสังเกตเครื่องหมายวรรคตอนที่ใช้เพราะเอกสารอ้างอิงทุกรายการจะใช้เครื่องหมายวรรคตอนเป็นแบบมาตรฐานเดียวกัน

F. เอกสารที่เป็นกฎหมาย

• รูปแบบพื้นฐาน

  • กรณีที่เป็นพระราชบัญญัติให้ระบุชื่อของพระราชบัญญัตินั้น. ระบุรายละเอียดของแหล่งเผยแพร่ซึ่งก็คือสารราชกิจจานุเบกษาตามตัวอย่าง
  • กรณีที่เป็นกฎกระทรวง ให้ใส่ชื่อกระทรวงที่ออกกฎนั้นและระบุชื่อของกฎหมายที่ออก. ระบุรายละเอียดของ แหล่งเผยแพร่ซึ่งก็คือ สารราชกิจจานุเบกษา ตามตัวอย่าง
  1. พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546. ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่120, ตอนที่130 ก (ลงวันที่22 ธันวาคม 2546).

  2. กระทรวงศึกษาธิการ. กฎกระทรวงกำหนด ประเภทของสถานศึกษาและการดำเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัย รุ่น พ.ศ. 2561. ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่135, ตอนที่81 ก (ลงวันที่12 ตุลาคม 2561).

G. สิทธิบัตร (Patent) ให้เขียนรูปแบบตามตัวอย่าง

  1. Pagedas AC, inventor; Ancel Surgical R@D Inc., assignee. Flexible endoscopic grasping and cutting device and positioning tool assembly. United States patent US 20020103498. 2002 Aug 1.

H. บทความในหนังสือพิมพ์

• รูปแบบพื้นฐาน ลำดับที่อ้างอิง. ชื่อผู้เขียน. ชื่อเรื่อง. ชื่อหนังสือพิมพ์. ปีเดือน วันที่; เลขหน้า (เลขคอลัมน์). ตัวอย่าง เช่น

  1. Lee G. Hospitalizations tied to ozone pollution; study estimates 50,000 admissions annually. The Washington Post. 1996 Jun 21; Sect. A: 3 (col. 5).

  2. ซี12. ตุลาการศาล ปค, เข้ารอบ. ไทยรัฐ. 2543 พ.ย. 20; ข่าวการศึกษา ศาสนา-สาธารณสุข: 12 (คอลัมน์2).

I. การอ้างอิงเอกสารที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์หรือกำลังรอตีพิมพ์

• รูปแบบพื้นฐาน ใช้รูปแบบการอ้างอิงตามประเภทของเอกสารดังกล่าวข้างต้น (เช่น บทความในวารสาร หรือหนังสือ) และระบุว่า In press หรือรอตีพิมพ์เช่น

  1. Leshner AL. Molecular mechanisms of cocine addiction. N Eng J Med. In press 1996.

อาจใช้คำว่า "forthcoming' ถ้าไม่แน่ว่าเอกสารนั้นๆ จะได้รับการตีพิมพ์หรือไม่

J. การอ้างอิงเอกสารอิเล็กทรอนิกส์(Electronic Material)

1) วารสารอิเล็กทรอนิกส์

• รูปแบบพื้นฐาน ลำดับที่อ้างอิง. ชื่อผู้แต่ง. ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร [ประเภทของสื่อ]. ปีที่พิมพ์[สืบค้นเมื่อ/cited ปีเดือน วันที่]; เล่มที่(volume): [หน้า]. แหล่งข้อมูล/Available from: http://........................... ตัวอย่าง เช่น

  1. Annas GJ. Resurrection of a stem-cell funding barrier—Dickey-Wicker in court. N Engl J Med [Internet]. 2010 [สืบค้นเมื่อ/cited 2011 Jun 15];363: 1687-9. แหล่งข้อมูล/Available from: http://www.nejm.org/doi/pdf/10.1056/NEJMp1010466

  2. ราม รังสินธ์, ปิยทัศน์ทัศนาวิวัฒน์. การประเมินผลการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่2 และความดัน โลหิตสูงของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร ประจำปี2555 [อินเทอร์เน็ต]. [สืบค้นเมื่อ20 ก.ย. 2559]. แหล่งข้อมูล: http://www.tima.or.th/index.php/component/attachments/downloads/24

โปรดสังเกตเครื่องหมายวรรคตอนที่ใช้เพราะเอกสารอ้างอิงทุกรายการจะใช้เครื่องหมายวรรคตอนเป็นแบบมาตรฐานเดียวกัน

2) หนังสือหรือบทความอิเล็กทรอนิกส์

• รูปแบบพื้นฐาน ลำดับที่อ้างอิง. ชื่อผู้แต่ง. ชื่อเรื่อง [ประเภทของสื่อ]. เมืองที่พิมพ์: สำนักพิมพ์; ปีที่พิมพ์[สืบค้นเมื่อ/cited ปีเดือน วันที่]. แหล่งข้อมูล/Available from: http://........................... ตัวอย่าง เช่น

  1. Merlis M, Gould D, Mahato B. Rising out-of-pocket spending for medical care: a growing strain on family budgets [Internet]. New York: Commonwealth Fund; 2006 [cited 2006 Oct 2]. Available from: http://www.cmwf.org/usr_doc/Merlis_risingoopspending_887.pdf

  2. Foley KM, Gelband H, editors. Improving palliative care for cancer [Internet]. Washington: National Academy Press; 2001 [cited 2002 Jul 9]. Available from: http://www.nap.edu/books/ 0309074029/html/

  3. Wikipedia. Genertion Y [Internet]. 2011 [cited 2011 Jul 5]. Available from: http://en.wikipedia. org/wiki/Generation_Y

  4. จิราภรณ์จันทร์จร. การเขียนรายการอ้างอิงในเอกสารวิชาการทางการแพทย์ [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพมหานคร: คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2551 [สืบค้นเมื่อ 18 ต.ค. 2554]. แหล่งข้อมูล: http://liblog.dpu.ac.th/analyresource/wp-content/uploads/2010/06/reference08.pdf

โปรดสังเกตเครื่องหมายวรรคตอนที่ใช้เพราะเอกสารอ้างอิงทุกรายการจะใช้เครื่องหมายวรรคตอนเป็นแบบมาตรฐานเดียวกัน

4. การส่งต้นฉบับ

ขอให้ส่งบทความกำหนดส่งที่ ระบบ submission บนเว็บไซต์ https://www.thaihealth.or.th/THPJournal หรือ (ในบางกรณี) ที่ Email THPJ@thaihealth.or.th ทั้งนี้ไฟล์ของบทความให้ใช้โปรแกรม Word เท่านั้น และกรณีที่มีภาพประกอบขอให้ส่งเป็นไฟล์ภาพแยกต่างหาก (จำนวนภาพและ diagram รวมไม่เกิน 5 ชิ้น) โดยใช้โปรแกรมไฟล์ภาพ เช่น ประเภท jpg หรือ ai

เมื่อบรรณาธิการได้รับต้นฉบับไว้จะแจ้งให้ผู้นิพนธ์ทราบว่า ให้แก้ไขก่อนตีพิมพ์ รับตีพิมพ์โดยไม่แก้ไข หรือไม่รับพิจารณาตีพิมพ์ บทความที่ไม่ได้รับพิจารณาตีพิมพ์ทางคณะจัดการวารสารฯ จะไม่ส่งคืนให้เจ้าของบทความ บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ผู้นิพนธ์สามารถ download ได้จากเว็ปไซต์https://www.thaihealth.or.th/THPJournal

5. กำหนดการพิมพ์บทความ

คณะจัดการวารสารฯจะดำเนินการตีพิมพ์บทความตามลำดับที่ได้รับ โดยมีการใช้เวลาทบทวนจาก reviewers ทั้ง 2 ท่าน ทั้งนี้หากบทความจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข กำหนดการตีพิมพ์อาจจะเร็วหรือช้าขึ้นกับระยะเวลาที่เจ้าของบทความใช้ในการปรับปรุงแก้ไขบทความ

ขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

คณะจัดการวารสารการสร้างเสริมสุขภาพไทย
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ เลขที่ 99/8 ซอยงามดูพลี แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
อีเมล thpj@thaihealth.or.th
โทร 02-343-1500

นิพนธ์ต้นฉบับ

รายงานผลการค้นคว้าวิจัยของผู้เขียน ซึ่งไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารอื่น เป็นบทความที่ให้ความรู้ใหม่ สิ่งตรวจพบใหม่ หรือเรื่องที่น่าสนใจที่ผู้อ่านนาไปประยุกต์ได้ รูปแบบของบทความมีเนื้อหาตามลาดับดังนี้ ชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงานบทคัดย่อ คาสาคัญ บทนา (และวัตถุประสงค์ของการวิจัย) วิธีการศึกษา ผลการศึกษา วิจารณ์ กิตติกรรมประกาศ และเอกสารอ้างอิง ความยาวของบทความไม่ควรเกิน 10 หน้าพิมพ์ ทั้งนี้ ในส่วนของชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คาสาคัญ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

บทความฟื้นวิชา

บทความที่รวบรวมความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งจากวารสารหรือหนังสือต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ โดยเป็นเรื่องที่ค้นพบ
ใหม่หรือน่าสนใจ รูปแบบของบทความประกอบด้วย ชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ชื่อหน่วยงานบทคัดย่อ คำสำคัญ บทนำ (และ
วัตถุประสงค์ของบทความ) ความรู้หรือข้อมูลที่ทันสมัยเกี่ยวกับเรื่องที่น ามาเขียน วิจารณ์หรือวิเคราะห์ (รวมบทสรุป)
เอกสารอ้างอิง ความยาวของเรื่องไม่ควรเกิน 10 หน้าพิมพ์ทั้งนี้ในส่วนของชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ
คำสำคัญ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

บทความพิเศษ

บทความแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่อยู่ในความสนใจเป็นพิเศษหรือเป็นบทความเกี่ยวกับงานหรือนโยบายด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งอาจรวมข้อคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและบทวิจารณ์ที่เกี่ยวข้อง บทความเสนอความรู้ทั่วไป รูปแบบของบทความประกอบด้วย ชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คาสาคัญ บทนา (และวัตถุประสงค์ของบทความ) ประเด็นรายละเอียดของเรื่องที่นามาเขียน วิจารณ์หรือวิเคราะห์ (รวมบทสรุป) เอกสารอ้างอิง ทั้งนี้ ในส่วนของชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คาสาคัญ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวของเรื่องไม่ควรเกิน 10 หน้าพิมพ์

กรณีศึกษา

รายงานกรณีศึกษาด้านสุขภาพในด้านต่างๆ หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยรายงานมาก่อน เป็นกรณีตัวอย่าง หรือกรณีที่
น่าสนใจ รูปแบบของบทความประกอบด้วย ชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คำสำคัญ บทนำ (และ
วัตถุประสงค์ของบทความ) ประเด็นรายละเอียดของกรณีศึกษาที่นำมาเขียน วิจารณ์หรือวิเคราะห์ (รวมบทสรุป)
เอกสารอ้างอิง ทั้งนี้ในส่วนของชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ชื่อหน่วยงาน บทคัดย่อ คำสำคัญ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวของเรื่องไม่ควรเกิน 10 หน้าพิมพ์

ปกิณกะ

บทความสั้น ที่เกี่ยวข้องกับด้านการสร้างเสริมสุขภาพ (ทั้งด้านพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม) ที่เป็นประโยชน์หรือบทความที่
ส่งเสริมความเข้าใจอันดีแก่ผู้ปฏิบัติงานในวงการแพทย์และสาธารณสุข รูปแบบของบทความประกอบด้วย ชื่อบทความ
ชื่อผู้นิพนธ์ชื่อหน่วยงาน ประเด็นรายละเอียดที่นำมาเขียน และเอกสารอ้างอิง ทั้งนี้ในส่วนของชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ชื่อ
หน่วยงาน บทคัดย่อ คำสำคัญ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวของเรื่องไม่เกิน 3 หน้าพิมพ์

นโยบายความเป็นส่วนตัว

ชื่อและที่อยู่อีเมล หรือข้อมูลส่วนบุคคล ที่กรอกในเว็บไซต์วารสารนี้จะใช้สำหรับวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในงานวารสารเท่านั้นและจะไม่เปิดเผยเพื่อวัตถุประสงค์ในกิจกรรมอื่น ๆ หรือให้กับบุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดทราบ