ส่วนผสมการตลาดทางการเมืองของพรรคก้าวไกลในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครสวรรค์ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566

ผู้แต่ง

  • สุนิสา แก้วนิ่ม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

DOI:

https://doi.org/10.14456/jpais.2025.3

คำสำคัญ:

การตลาดทางการเมือง , พรรคก้าวไกล , หลักสัปปุริสธรรม

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาส่วนผสมการตลาดทางการเมืองของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งทั่วไป ในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครสวรรค์ 2) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของหลักสัปปุริสธรรมกับส่วนผสมการตลาดทางการเมืองของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งทั่วไปในเขตเลือกตั้งที่1 และ3) เสนอแนวทางการประยุกต์ใช้หลักส่วนผสมการตลาดทางการเมืองของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งทั่วไปในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครสวรรค์ วิธีดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้วิธีการสุ่มขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่จำนวน 400 คน จากประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 138,993 คน โดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูล จำนวน 17 รูป/คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์และวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า ส่วนผสมการตลาดทางการเมืองของพรรคก้าวไกลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ในการเลือกตั้งทั่วไปในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครสวรรค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ (equation=4.29, S.D.=0.26) และระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับส่วนผสมการตลาดทางการเมืองของพรรคก้าวไกล (4Ps) โดยรวมอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่  (equation=4.17, S.D.=0.34) ขณะที่ความสัมพันธ์ของหลักสัปปุริสธรรมกับส่วนผสมการตลาดทางการเมืองของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.01โดยมีความสัมพันธ์ในทางบวกหรือความสัมพันธ์กันในลักษณะที่คล้อยตามกันเป็นคู่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง (r=0.737**) และ แนวทางการประยุกต์ใช้หลักส่วนผสมการตลาดทางการเมืองของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งทั่วไปในเขตเลือกตั้งที่ 1 พบว่า 1) ด้าน Product พรรคก้าวไกลอาจพิจารณาปรับปรุงหรือทบทวนนโยบายบางประการ 2) ด้าน Push Marketing การเพิ่มทรัพยากรเพื่อการประชาสัมพันธ์ในการหาเสียงเลือกตั้งให้มีจำนวนมากยิ่งขึ้น 3) ด้าน Pull Marketing สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควรให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่พบปะประชาชนอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง 4) ด้าน Polling ควรมีการดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนให้ครอบคลุมในทุกมิติ

เอกสารอ้างอิง

กวินธร เสถียร. (2558). อิทธิพลของป้ายหาเสียงที่มีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัดพิษณุโลก. [วิทยานิพนธ์ปริญญาโทไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยนเรศวร.

คมสันต์ บัวติ๊บ และจันทนา สุทธิจารี. (2561). การเมืองในการกำหนดนโยบายสาธารณะ: กรณีศึกษานโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง. วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์, 9(1), 1-28.

ประคอง มาโต และคณะ. (2565). การส่งเสริมความนิยมทางการเมืองของประชาชนมีต่อนักการเมืองในจังหวัดอุทัยธานี. วารสารวิจยวิชาการ, 5(2), 115-128.

ปิยะรัตน์ สนแจ้ง. (2561). ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร: ศึกษากรณีประชาชนกรุงเทพมหานคร ปี พ.ศ. 2562. [วิทยานิพนธ์ปริญญาโทไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยเกริก.

พรรคก้าวไกล. (2567). คำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองพรรคก้าวไกล. https://www.move forwardparty.org/about/.

พิรุณธร เบญจพรรังสิกุล. (2554). ปัจจัยทางการตลาดทางการเมืองที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการเลือกพรรคการเมืองไทยของประชาชนผู้ มีสิทธิเลือกตั้ง ในเขตกรุงเทพมหานคร. [วิทยานิพนธ์ปริญญาโทไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

มนตรี เอี่ยมพิทักษ์สกุล. (2567). การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการตัดสินใจของประชาชนในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งท้องถิ่นในตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี. วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์, 7(6), 107–120.

ลลิตพรรณ นุกูลวัฒนวิชัย. (2556). การตลาดทางการเมือง : ศึกษาเปรียบเทียบกลยุทธ์การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2556. วารสารรัฐศาสตร์ปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 4(2), 122-144.

Newman, B. I. (1994). The marketing of the president. Sage

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

13-09-2025

รูปแบบการอ้างอิง

แก้วนิ่ม ส. . (2025). ส่วนผสมการตลาดทางการเมืองของพรรคก้าวไกลในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครสวรรค์ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566. วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม, 1(1), e1839. https://doi.org/10.14456/jpais.2025.3