มจร สุรนารีสาร https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat <p><strong>วารสาร มจร สุรนารีสาร</strong></p> <p><strong>ISSN: 2985-1106 (Print)</strong></p> <p><strong>ISSN: 3088-1382 (Online)</strong></p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong></p> <p>1.เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า เผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ ทางด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา จริยศาสตร์ การศึกษา และสหวิทยาการ ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา ในระดับบัณฑิตศึกษา และบุคคลทั่วไป </p> <p>2.เพื่อเชื่อมโยงองค์ความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนาและศาสตร์สมัยใหม่ </p> <p><strong>การพิจารณาบทความ</strong></p> <p>ทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อซึ่งกันและกัน (double-blind review)</p> <p><strong>ประเภทของบทความ : </strong>บทความวิจัย บทความวิชาการ บทความปริทัศน์ และหรือบทความวิจารณ์หนังสือ</p> <p><strong>ภาษาที่รับการตีพิมพ์</strong> : ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์</strong></p> <p>-วารสารมีกำหนดออก 3 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม, ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม</p> สำนักวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครราชสีมา Mahachulalongkornrajavidyalaya University Nakhon Ratchasima Campus (Office of Academic Affairs)) th-TH มจร สุรนารีสาร 2985-1106 บทบรรณาธิการ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1971 <p>วารสาร มจร สุรนารีสาร ปีที 3 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2568) เป็นเล่มที่สรรเสริญพุทธปัญญา(Buddhist Wisdom) สว่างรุ่งเรืองหาสุดประมาณมิได้ดังภาพหน้าปกฉบับนี้ เชื่อมโยงกับเนื้อหาสาระของบทความอันทรงคุณค่าด้านงานวิจัยและวิชาการ ของคณาจารย์และมหาบัณฑิต ได้รังสรรผลงานด้านการศึกษา เกี่ยวกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์และภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา การพัฒนาปัญญาตามหลักศรัทธา 4 การเสริมสร้างจิตสาธารณะของนักศึกษา การศึกษาขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู การตรวจประเมินประกันคุณภาพการศึกษาตามเกณฑ์ AUN-QA การบริหารงานวิชาการในศตวรรษที่ 21 การใช้สติปัฏฐาน 4 ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับครอบครัว หลักอธิปไตย 3 เพื่อการประยุกต์ใช้สำหรับการบริหารทางการศึกษา รวมทั้งบทวิจารณ์หนังสือเกี่ยวกับ “สถาบันสงฆ์กับสังคมปัจจุบัน” ทุกบทความได้รับการวิเคราะห์ออกมาเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารและสังคม สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงกิจการได้ทุกองค์กร และยังเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของปัจเจกชนได้เป็นอย่างดี </p> โชคชัย ชมนาวัง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร สุรนารีสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-23 2025-08-23 3 2 G แบบฟอร์มการเขียนบทความ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1972 <p>ผู้เขียนบทความควรตรวจสอบบทความของท่านว่า บทความมีองค์ประกอบตรงตามข้อกำหนดของวารสาร มจร สุรนารีสาร ตามที่แนะนำไว้นี้หรือไม่ หากมีข้อขาดตกบกพร่อง กรุณาปรับแก้ให้ตรงตามที่กำหนดไว้ให้สมบูรณ์ แล้วจึงส่งบทความเข้าสู่วารสารทางออนไลน์ในระบบ Thaijo ต่อไป</p> โชคชัย ชมนาวัง กุลพิสิฐ ขวาไทย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร สุรนารีสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-23 2025-08-23 3 2 135 145 การใช้สติปัฏฐาน 4 ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับครอบครัว https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1311 <p>บทความวิชาการนี้มุ่งเน้นศึกษาการใช้สติปัฏฐาน 4 ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับครอบครัวเนื่องจากว่า ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสุข ความเข้าใจ ความอบอุ่น รวมถึงการพัฒนาอารมณ์และจิตใจของสมาชิกในบ้าน ปัญหาหลักของครอบครัวในปัจจุบัน คือการขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและความเข้าใจซึ่งกันและกัน ดังนี้แนวคิดการนำสติปัฏฐาน 4 ซึ่งประกอบด้วย การมีสติระลึกรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับกาย เวทนา จิต และธรรม มาช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้กับครอบครัว จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างความตระหนักรู้ในความรู้สึกของตนเองและความรู้สึกของบุคคลอื่นทั้งแก่บุคคลในครอบครับและบุคคลภายนอก เพื่อให้เรามีสติในการฟังและพูดคุยกับบุคคลอื่น จากการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การประยุกต์ใช้สติปัฏฐาน 4 ช่วยเพิ่มความตระหนักรู้ในอารมณ์และความคิดของตนเองและผู้อื่น ส่งเสริมการสื่อสารและการตอบสนองอย่างเข้าใจและเมตตา นำไปสู่การพัฒนาตนเองและชีวิตที่มีความหมายยิ่งขึ้น อันเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ในครอบครัว ช่วยลดความขัดแย้ง เพิ่มความเข้าใจและความผูกพันในครอบครัว โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ครอบครัวเผชิญกับปัญหาการขาดการสื่อสารอย่างลึกซึ้ง การเจริญสติอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เกิดความสงบภายในครอบครัว นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว</p> อลงกรณ์ รักษาพราหมณ์ พระครูวินัยธรวุฒิชัย ชยวุฑฺโฒ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร สุรนารีสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-23 2025-08-23 3 2 101 112 หลักธรรมอธิปไตย 3 เพื่อการประยุกต์ใช้สำหรับบริหารทางการศึกษา https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1340 <p>บทความวิชาการนี้มุ่งเน้นศึกษาหลักอธิปไตย 3 เพื่อการประยุกต์ใช้สำหรับการบริหารทางการศึกษา จากการศึกษาพบว่า หลักอธิปไตยตามแนวพระพุทธศาสนาในหลักธรรมคําสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสและสอนเกี่ยวกับการเป็นผู้นํา นักปกครอง หรือนักบริหาร ซึ่งประกอบด้วยธรรม 3 ประการ คืออัตตาธิปไตยเป็นความมีตนเป็นใหญ่ซึ่งนึกถึงตน คำนึงถึงฐานะ เกียรติศักดิ์ศรี หรือผลประโยชน์ของตนเป็นสำคัญพึงใช้แต่ในขอบเขตที่เป็นความดี ส่วนโลกาธิปไตยเป็นความมีโลกเป็นใหญ่โดยยึดถือเอาเสียงหรือกระแสหรือความนิยมของคนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ และธัมมาธิปไตยเป็นความมีธรรมเป็นใหญ่ซึ่งการตัดสินใจโดยยึดเอาความถูกต้องเป็นระบบที่มีความเที่ยงธรรมและมีมาตรฐานสำหรับทุกฝ่าย ตลอดจนการประยุกต์นำหลักอธิปไตย 3 ไปสู่การบูรณาการเพื่อนำไปประยุกต์ใช้สำหรับการบริหารทางการศึกษาโดยผู้บริหารสามารถนำหลักอธิปไตยมาใช้บริหารงานและจัดการเชิงกลยุทธ์ภายในองค์กร ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการพัฒนามนุษย์ทำให้เกิดองค์ความรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพทำให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นของคนในองค์กรและสังคม</p> ภูเมศร์ ศักดิ์จันทร์ พระครูวินัยธรวุฒิชัย ชยวุฑฺโฒ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร สุรนารีสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-23 2025-08-23 3 2 113 123 สถาบันสงฆ์ กับ สังคมปัจจุบัน https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1637 <p>พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นพระนักวิชาการนักคิดนักเขียนผลงานทางพระพุทธศาสนารุ่นใหม่มีผลงานทางวิชาการพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ท่านได้รับการยกย่องจากทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมากด้วยผลงานของท่านทำให้ได้รับรางวัลและดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากหลายสถาบันทั้งในและนอกประเทศ หนังสือ “สถาบันสงฆ์ กับ สังคมปัจจุบัน” นี้ เกิดจากการพูดการเขียนประกอบคําบรรยายเมื่อปี 2517 ในยุคของ “เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ” (พ.ศ. 2516) ได้รวบรวมข้อเขียน บทความ และคำบรรยายต่าง ๆ ของผู้เขียน จัดประมวลเป็นหมวด โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นปัญหาเกี่ยวกับสถาบันสงฆ์ การวิเคราะห์ปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่มีในคณะสงฆ์หลายประเด็นด้วยกัน รวมถึงการถามตอบเกี่ยวกับความมั่นคงในอุดมคติของสถาบันสงฆ์ในตอนท้ายเล่ม</p> พระอนันต์ อภินนฺโท (ผากา) พระครูโสภณจิตตาภิรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร สุรนารีสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-23 2025-08-23 3 2 124 134 การศึกษาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1269 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา (2) เพื่อเปรียบเทียบคุณลักษณะที่ พึงประสงค์ของผูบริหารสถานศึกษา ตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัย คือ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา ที่ปฏิบัติงานในปีการศึกษา 2567 จำนวน 343 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie &amp; Morgan) สุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถาม (IOC) อยู่ระหว่าง 0.80 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่นโดยภาพรวมทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ เพื่อหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐานโดยใช้สถิติ t-test และ F-test และเมื่อพบความแตกต่างทำการเปรียบเทียบเป็นรายคู่โดยวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffe's Method) ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> (1) คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านคุณธรรม จริยธรรม ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านมนุษยสัมพันธ์</p> <p> (2) เปรียบเทียบคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผูบริหารสถานศึกษา ตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา จำแนกตามประสบการณ์การทำงานและขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> กชกร หนูสันเทียะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร สุรนารีสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-23 2025-08-23 3 2 1 12 ศึกษาการพัฒนาปัญญาตามหลักศรัทธา 4 ของชุมชน ตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1404 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญญาตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาความเชื่อตามหลักศรัทธา 4 ของชุมชนตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา 3) เพื่อศึกษาการพัฒนาปัญญาตามหลักศรัทธา 4 ของชุมชนตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>(1) ปัญญาตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท พบว่าหลักการเบื้องต้นของการพัฒนาปัญญา มาจากความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล 4 ประการ คือ 1) กัมมสัทธา เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง 2) วิปากสัทธา เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วย่อมต้องมีผล เชื่อว่าผลของกรรมมีอยู่จริง 3) กัมมัสสกตาสัทธา คือ เชื่อว่าสรรพสัตว์มีกรรมเป็นของของตน จะต้องรับผลของกรรมและเป็นไปตามกรรมของตน 4) ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า</p> <p>(2) ความเชื่อตามหลักศรัทธา 4 ของชุมชนตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา พบว่าศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นความเชื่อตามความจริง ส่วนศรัทธาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เชื่อด้วยอารมณ์ เชื่อด้วยการตัดสินใจของตนเองเป็นที่ตั้ง ยึดติดกับตัวบุคคลโดยไม่ใช้เหตุผล เหล่านี้เป็นศรัทธาที่ปิดกั้นปัญญา คุณค่าสูงสุดของศรัทธา คือการนำไปสู่การปฏิบัติ ให้เข้าถึงความสงบ จนบรรลุเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา และยังพบว่าการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนาในทางที่ชั่ว มีมูลเหตุมาจาก 1) เป็นคนใจร้อน 2) เป็นคนใจวู่วาม 3) เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง และ 4) เป็นคนมีใจเห็นแก่ตัว</p> <p> (3) การพัฒนาปัญญาตามหลักศรัทธา 4 ของชุมชนตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา พบว่า มีความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล 4 ประการ คือ 1) เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง จงใจกระทำทั้งที่รู้ ย่อมเป็นกรรม 2) เชื่อในผลของกรรม เชื่อว่าเมื่อกระทำแล้วต้องมีผล เชื่อว่าการกระทำเป็นเหตุปัจจัย 3) เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของกรรม ต้องรับผิดชอบและเสวยวิบากตามกรรมที่ทำไว้ 4) เชื่อในองค์พระตถาคตว่า ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ ทำให้เข้าใจในเรื่องกฎแห่งกรรมตามคำสอนทางพระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี </p> พระมหาภานรินทร์ ภานรินฺโท (ในพิมาย) พระมหาสุพร รกฺขิตธมฺโม เบญจมาศ สุวรรณวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร สุรนารีสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-23 2025-08-23 3 2 13 26 การศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1270 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามประสบการณ์ในการบริหารและขนาดของสถานศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษมัธยมศึกษานครราชสีมา จำนวน 44 คน ผู้ให้ข้อมูลได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 1 คน รองผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 1 คน และครู จำนวน 1 คน ในแต่ละโรงเรียนของกลุ่มตัวอย่าง รวม 132 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) แบ่งเป็น 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่น 0.935 ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานใช้ t–test และ F-test เมื่อพบความแตกต่างใช้วิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffe's Method) ในการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยรายคู่ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา โดยภาพรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก</p> <p>2) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา เมื่อจำแนกตามประสบการณ์ในการบริหารสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 เมื่อจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ยกเว้นด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลไม่แตกต่างกัน</p> วรรณนิษา อ่อนทองหลาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร สุรนารีสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-23 2025-08-23 3 2 27 43 การเสริมสร้างจิตสาธารณะของนักศึกษากลุ่มสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1633 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาจิตสาธารณะและ 2) หาแนวทางการเสริมสร้างจิตสาธารณะนักศึกษากลุ่มสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรม อุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 118 คน จากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้การกำหนดตามตารางเครซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan) โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ มีค่า IOC เท่ากับ 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ระดับจิตสาธารณะนักศึกษากลุ่มสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ โดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก</p> <p>2) ผลสังเคราะห์แนวทางการเสริมสร้างจิตสาธารณะนักศึกษากลุ่มสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ (1) บูรณาการจิตสาธารณะในรายวิชาส่งเสริมให้อาจารย์บูรณาการกิจกรรมจิตสาธารณะ เช่น โครงการออกแบบหรือพัฒนาระบบเพื่อชุมชนเข้ากับการเรียนในรายวิชาวิศวกรรม (2) จัดโครงการบริการวิชาการเพื่อสังคมจัดกิจกรรมให้นักศึกษาออกแบบ/พัฒนาเครื่องมือ เครื่องจักร หรือกระบวนการปรับปรุงคุณภาพชีวิตในชุมชน เช่น การพัฒนาระบบจัดการขยะในชุมชน (3) ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านจิตอาสาเชิงวิศวกรรมสนับสนุนให้นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาที่เกี่ยวข้องกับความรู้ทางวิศวกรรม เช่น การซ่อมอุปกรณ์การเรียนการสอน หรือการสอนผู้เรียนเรื่องความปลอดภัยในโรงงาน</p> นนทโชติ อุดมศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร สุรนารีสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-23 2025-08-23 3 2 44 54 การศึกษาขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1271 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา (2) เพื่อเปรียบเทียบขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา จำแนกตามตำแหน่งการปฏิบัติงาน ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน รูปแบบการวิจัยเป็นวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้การสังเคราะห์องค์ประกอบแนวคิดเกี่ยวกับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครูเป็นกรอบในการวิจัย พื้นที่วิจัยคือสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา จำนวนครู 3,208 คน ได้กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา ปีการศึกษา 2567 จำนวน 343 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multistage Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 1 ชนิด คือ ซึ่งเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคิอร์ท (Likert) 5 ระดับ และได้ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยได้ค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบสอบถามได้เท่ากับ 1.00 ทุกข้อและค่าความเชื่อมั่นโดยภาพรวมทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติเพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครูโดยใช้สถิติ t-test และ F-test เมื่อพบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงทำการทดสอบรายคู่ โดยใช้วิธีการของเซฟเฟ่ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน (= 4.14) โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากเป็นอันดับแรกได้แก่ ด้านความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน (= 4.18) รองลงมาคือ ด้านโอกาสความก้าวหน้า (= 4.16) ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน (= 4.15) และด้านบทบาทของผู้บังคับบัญชา (= 4.13) ตามลำดับ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากเป็นอันดับสุดท้าย คือ ด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการ (= 4.07)</p> <p>2) ผลการเปรียบเทียบขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา โดยจำแนกตาม ตำแหน่งการปฏิบัติงาน ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียนโดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> สุภาวดี นาคเม้า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร สุรนารีสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-23 2025-08-23 3 2 55 69 การศึกษาความต้องการสิ่งสนับสนุนเพื่อรองรับการตรวจประเมินประกันคุณภาพ การศึกษาตามเกณฑ์ AUN-QA ของบุคลากรสายวิชาการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1757 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความต้องการสิ่งสนับสนุนเพื่อรองรับการตรวจประกันคุณภาพตามเกณฑ์ AUN-QA (2) แนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับการตรวจประกันคุณภาพตามเกณฑ์ AUN-QA วิธีดำเนินการวิจัย ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรสายวิชาการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จำนวน 70 คน ใช้วิธีสุ่มจากกลุ่มประชากรตามหลักเกณฑ์ของ Taro Yamane และการสนทนากลุ่มของคณะกรรมการประกันคุณภาพ จำนวน 29 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การสนทนากลุ่มเป็นเครื่องมือ ผลการศึกษา พบว่า</p> <p>1) ความต้องการสิ่งสนับสนุนเพื่อรองรับการตรวจประกันคุณภาพตามเกณฑ์ AUN-QA ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างโปรแกรมและเนื้อหา การจัดการเรียนการสอน และสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งนี้ แนวทางที่ได้จากการสนทนากลุ่มเสนอให้เน้นการอบรมเชิงปฏิบัติให้กับบุคลากร</p> <p>2) แนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับการตรวจประกันคุณภาพตามเกณฑ์ AUN-QA ด้านการให้ความรู้แก่บุคลากร เกี่ยวกับแนวปฏิบัติของหลักสูตร การดำเนินงานตามเกณฑ์และแนวทางในการสร้างสรรค์กิจกรรมต่าง ๆ ต้องให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้บุคลากรดำเนินการได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูลที่จำเป็น การสนับสนุนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสร้างความตระหนักรู้ร่วมกันในหน่วยงาน จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างเป็นระบบ</p> ชญาน์นันท์ ฉิมนาคพันธุ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร สุรนารีสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-23 2025-08-23 3 2 70 87 การบริหารงานวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1452 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา และ (2) เปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามประสบการณ์ในการบริหารและขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 จำนวน 105 คน ซึ่งกำหนดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ตารางของเครจซีและมอร์แกน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 1 คน และครูวิชาการ 1 คน ในสถานศึกษา รวมสถานศึกษาละ 2 คน รวมผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 210 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบสอบถามรายข้ออยู่ระหว่าง 0.80-1.00 และค่าความเชื่อมั่นโดยรวมทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ เพื่อหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ F-test และเมื่อพบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยทำการเปรียบเทียบตามวิธีการของ เชฟเฟ่ (Scheffé's Method) ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) การบริหารงานวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน</p> <p>2) การเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 จำแนกตามประสบการณ์ในการบริหารและขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05</p> ธรรกมล เกลียบกลาง ชวลิต เกตุกระทุ่ม วรสิทธิ์ รัตนวราหะ จินตนา วีระปรียากูร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร สุรนารีสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-23 2025-08-23 3 2 88 100