https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/issue/feed มจร สุรนารีสาร 2024-12-29T17:14:02+07:00 Phramaha Supat Vajirāvudho, Assoc. Prof. Dr. mcusuranaree@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>ชื่อวารสาร: มจร สุรนารีสาร (MCU Suranaree Journal)</strong></p> <p><strong>ชื่อย่อ: MSJ </strong></p> <p><strong>ชื่อย่อสำหรับการอ้างอิง: MCU Suranaree.J.</strong></p> <p><strong>ISSN: 2985-1106 (online)</strong></p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong></p> <p>๑. เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า เผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ ทางด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา จริยศาสตร์ การศึกษา และสหวิทยาการ ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา ในระดับบัณฑิตศึกษา และบุคคลทั่วไป </p> <p>๒. เพื่อเชื่อมโยงองค์ความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนาและศาสตร์สมัยใหม่ </p> <p>๓. ทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย ๒ ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อซึ่งกันและกัน (double-blind review)</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong></p> <p>๑. บทความที่ส่งมาตีพิมพ์ในวารสารฯ จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรือยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น </p> <p>๒. ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การนำเสนอบทความอย่างเคร่งครัด </p> <p>๓. ระบบการอ้างอิงจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสาร </p> <p><strong>ประเภทของบทความ</strong> : บทความวิจัย บทความวิชาการ บทความปริทัศน์ และหรือบทความวิจารณ์หนังสือ</p> <p><strong>ภาษาที่รับการตีพิมพ์</strong> : ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์</strong></p> <p>-วารสารมีกำหนดออก ๓ ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ ๑ มกราคม-เมษายน, ฉบับที่ ๒ พฤษภาคม-สิงหาคม, ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม</p> <p><strong>เจ้าของวารสาร</strong>: สำนักวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครราชสีมา</p> <p><strong>นโยบายด้านลิขสิทธิ์ (</strong><strong>Copyright Policy)</strong></p> <p>ข้อความหรือความคิดเห็นต่าง ๆ ในบทความ ถือเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความ ไม่ถือเป็นความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ มจร สุรนารีสาร</p> <p><strong>นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (</strong><strong>Privacy Statement)</strong></p> <p>ชื่อและอีเมล์ที่กรอกไว้ในวารสารจะใช้ในกระบวนการของวารสารนี้เท่านั้น</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่: </strong>ด้วยทางวารสาร มจร สุรนารีสาร เป็นวารสารที่เปิดใหม่ ในช่วงก่อนรับการประเมินเข้าฐานของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index Centre) ทางวารสารเปิดรับบทความตีพิมพ์โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ ทั้งสิ้น จนกว่าจะได้รับการประเมินเข้าฐานของ TCI</p> <p><strong>ติดต่อสอบถาม</strong></p> <p> -ผู้จัดการวารสาร โทร. 064 8060 444 </p> <p>-Line ID: 66648060444 (กรุณาแอ๊ดไลน์เพื่อแจ้งข้อมูลรวดเร็ว) </p> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="คำแปล" data-ved="2ahUKEwickv-v5ZSJAxVV1jgGHR3sKekQ3ewLegQIBxAU" aria-label="ข้อความที่แปล: Please add Line for quick contact."><span class="Y2IQFc" lang="en">Email. mcusuranaree@gmail.com</span></pre> https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1263 บทบรรณาธิการ 2024-12-29T17:14:02+07:00 Chokchai Chomnawang mcusuranaree@gmail.com <p>วารสาร มจร สุรนารีสาร ปีที่ 2 เล่ม 3 (กันยายน-ธันวาคม 2567) ประกอบไปด้วยบทความทางวิชาการและงานวิจัยที่ทรงคุณค่าทางการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานวิจัยเกี่ยวกับการจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้น่าเรียนไม่น่าเบื่อของนักเรียน การจัดกิจกรรมที่ทำให้ครูมีความสุขในการทำหน้าที่ครู การเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้บริหารการศึกษาในโรงเรียน องค์ความรู้นี้ทำให้ทั้งครูและนักเรียนมีความสุขและพัฒนาไปด้วยกัน อีกทั้งบทความเกี่ยวกับภาวะผู้นำ การปฏิบัติธรรมเพื่อบำบัดโรคซึมเศร้าและข้อธรรมดีๆ จาก 4 สังเวชนียสถาน เป็นความรู้ที่มีประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคม ทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างมีความสุข</p> <p>เนื่องจากปกของวารสารเล่มนี้กล่าวถึงปราสาทหินพิมาย ตั้งอยู่ในอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เป็นปราสาทหินทรงขอมโบราณแบบบาปวน ที่ใหญ่โตและงดงาม สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ราวพุทธศตวรรษที่ 16 เพื่อใช้เป็นเทวสถานของศาสนาพราหมณ์ และเปลี่ยนเป็นพุทธศาสนานิกายมหายาน ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ชื่อ พิมาย น่าจะมาจากคำว่า วิมาย หรือ วิมายปุระ ที่ปรากฏในจารึกภาษาเขมรบนแผ่นหินตรงกรอบประตูระเบียงคดด้านหน้าของปราสาท &nbsp;</p> <p>ทางกองบรรณาธิการรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งและขอขอบคุณผู้แต่งทุกท่าน ที่ได้ส่งบทความอันทรงคุณค่าทรงภูมิปัญญาพร้อมด้วยองค์ความรู้ใหม่ๆ มาร่วมเผยแพร่ในวารสาร มจร สุรนารีสาร และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือทางวิชาการจากท่านเป็นอย่างดีในโอกาสต่อไป</p> 2024-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มจร สุรนารีสาร https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1066 ภาวะผู้นำ แนวคิดภาวะผู้นำที่ปรากฏในมัจฉราชจริยาชาดก 2024-11-16T18:57:14+07:00 พระครูสุตธรรมวิสิฐ (มนัสชัย เมตฺตจิตฺโต) wipassana2552@gmail.com พระครูศรีปริยัตยารักษ์ (ประสงค์ กิตฺติปญฺโญ) songnork@gmail.com <p style="margin-top: 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">บทความวิชาการนี้มุ่งเน้นศึกษาภาวะผู้นำที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เรื่อง มัจฉราชจริยาชาดก เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการแสดงบทบาทของผู้นำในตำแหน่งต่าง ๆ ผ่านเรื่องราวในชาดกซึ่งเป็นคัมภีร์ของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องมัจฉราชจริยาชาดก ที่เสนอคุณลักษณะและภาวะผู้นำของผู้นำที่มีความสำคัญต่อองค์กร จากการศึกษาพบว่าชาดกเรื่องนี้บรรยายถึงความเป็นผู้นำที่ดี มีสติ ปัญญา ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยการใช้คุณธรรมและการตัดสินใจ การทำงานร่วมกันเป็นทีม และการสร้างแรงจูงใจให้กับผู้อื่นในการร่วมกันทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความสามารถในการจัดการความขัดแย้งและการดำรงรักษาความยุติธรรมในองค์กร การศึกษานี้ ได้ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อทำความเข้าใจด้านภาวะผู้นำที่ถูกนำเสนอใน มัจฉราชจริยาชาดก รวมถึงการเปรียบเทียบกับแนวคิดการบริหารการจัดการในยุคปัจจุบัน และพบว่า คุณลักษณะภาวะผู้นำของผู้นำในมัจฉราชจริยาชาดก มีความสัมพันธ์กับหลักการและเทคนิคการบริหารจัดการในปัจจุบัน อาทิเช่น ความฉลาดในการตัดสินใจ ความสามารถในการสร้างแรงจูงใจและการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพตลอดถึงจริยธรรมของผู้นำ ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ในบริบทการบริหารจัดการในองค์กรมีประสิทธิภาพเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์และนำพาองค์กรไปสู่ความเป็นเลิศได้</span></p> 2024-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มจร สุรนารีสาร https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1102 การปฏิบัติกรรมฐานกับวิถีชีวิตของมนุษย์ 2024-11-12T19:00:56+07:00 ภูเมศร์ ศักดิ์จันทร์ poomate40@gmail.com พระครูวินัยธรวุฒิชัย ชยวุฑฺโฒ wattchai.pet@mbu.th <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปฏิบัติกรรมฐานกับวิถีชีวิตของมนุษย์ จากการศึกษาพบว่า การปฏิบัติกรรมฐานเป็นแนวปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานเพื่อทำจิตใจเกิดความสงบโดยใช้การฝึกอบรมจิตใจ การทำสมาธิ และการเจริญปัญญา ซึ่งการพัฒนาจิตที่ใช้ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอารมณ์ของสติ โดยใช้แนวการปฏิบัติกรรมฐานของคนไทยเพื่อให้การดำเนินชีวิตมีคุณภาพชีวิตที่ดีและเรียบง่ายตามหลักพระพุทธศานา โดยมีรูปแบบการพัฒนาจิตของกรรมฐานทั้ง 5 สาย คือ สายการปฏิบัติพุทโธ สายการปฏิบัติพัฒนาจิตของสายอานาปานสติ สายการปฏิบัติพองหนอและยุบหนอ สายการปฏิบัติรูปนาม และสายการปฏิบัติสัมมาอะระหัง ซึ่งทั้งหมดเป็นรูปแบบการปฏิบัติที่สอดคล้องกันเพื่อให้ผู้ฝึกปฏิบัติไปสู่จุดมุ่งหมายของการบรรลุนิพพาน ตลอดจนการนำรูปแบบการปฏิบัติกรรมฐานทางพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้หลากหลายด้านเพื่อประโยชน์ทางการยึดเหนี่ยวจิตใจ เกิดความสงบ และการนำไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์จากการเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผลและพร้อมยอมรับผลที่เกิดขึ้นแล้วนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างถูกวิธี โดยมุ่งหมายให้พัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางกายและจิตใจ</p> 2024-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มจร สุรนารีสาร https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1104 การบำบัดรักษาโรคซึมเศร้าด้วยวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน 2024-11-12T19:04:31+07:00 มนัสชัย ดวงปัญญารัตน์ manatchai@pt.ac.th พระครูวินัยธรวุฒิชัย ชยวุฑฺโฒ wattchai.pet@mbu.th <p>บทความวิชาการนี้มุ่งเน้นศึกษาการบำบัดรักษาโรคซึมเศร้าด้วยวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งการปฏิบัติกรรมฐานเป็นวิธีการอบรมจิตให้สงบและมีความสว่างปัญญาจากความทุกข์ที่เกิดขึ้น จากการศึกษาพบว่าการเจริญกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายและจิตของผู้ปฏิบัติมีสุขภาวะที่ดี สำหรับโรคซึมเศร้าเกิดจากสาเหตุหลายอย่าง เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลกระทบด้านร่างกายและจิตใจ ควรรีบหาวิธีบำบัดรักษา เพื่อไม่ให้เกิดความร้ายแรงต่อร่างกายและจิตใจ การปฏิบัติกรรมฐานเป็นวิธีการปฏิบัติธรรมประเภทหนึ่งในพระพุทธศาสนา หรือกระบวนการฝึกอบรมจิต พัฒนาจิตให้แน่วแน่อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง จนเกิดเป็นสมาธิ ความสงบนิ่ง จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน กระวนกระวาย การฝึกอบรมจิตให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง ให้รู้เท่าทันความจริงในปัจจุบันของสิ่งทั้งหลาย เพื่อพัฒนาจิตให้สูงขึ้น ยอมรับความเป็นจริงของชีวิต และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข ผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดี กำลังจิตที่เข้มแข็ง การปฏิบัติกรรมฐานสามารถนำมาระงับทุกขเวทนา บรรเทาหรือผ่อนเบาโรคทางกายได้ และยังส่งผลทำให้ระบบอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายค่อยๆ ปรับสภาพสมดุล ผลิตฮอร์โมนในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งการทำงานของระบบประสาทและระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ทำให้สภาพต่างๆ ภายในร่างกายสามารถเข้าสู่ภาวะปกติ โรคภัยต่างๆ บรรเทาลงและหายไปในที่สุด ฉะนั้น การบำบัดรักษาโรคซึมเศร้าด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถช่วยให้สุขภาวะจิตเป็นปกติ โดยใช้ความเพียรพยายาม ความอดทน นำไปสู่ภาวะการปล่อยวางหรือความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เกิดขึ้น และการฝึกฝนเรียนรู้อยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน</p> 2024-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มจร สุรนารีสาร https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1037 การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 2024-11-16T18:49:43+07:00 วิริยา ทองเรือง wiriya.try11@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1, (2) เพื่อเปรียบเทียบการจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของสถานศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 จำแนกตามขนาดของโรงเรียน และประเภทของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ สถานศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมาเขต 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 103 โรงเรียน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) มีค่าความสอดคล้องของแบบสอบถาม (IOC) อยู่ที่ 1.00 ทุกข้อ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ 0.97 ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยรวมคำตอบของผู้ให้ข้อมูลแต่ละสถานศึกษา หาค่าเฉลี่ยเป็นข้อมูลของสถานศึกษา วิเคราะห์การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของสถานศึกษาโดยหาค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของสถานศึกษา เปรียบเทียบตามขนาดของโรงเรียน และประเภทของโรงเรียน โดยใช้สถิติทีเทส (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ระดับมากทุกด้าน</p> <p> 2) ผลการเปรียบเทียบการจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 จำแนกตามขนาดของโรงเรียน และประเภทของโรงเรียน โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ และ ด้านสภาพแวดล้อมทางวิชาการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกนั้นไม่แตกต่างกัน</p> 2024-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มจร สุรนารีสาร https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1038 การศึกษาความสุขในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 2024-11-20T16:32:35+07:00 เชาวนิตย์ เพชรบุตร hii3ckky.crazyland@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1, (2) เพื่อเปรียบเทียบความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 โดยจำแนกตาม ตำแหน่ง ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แนวคิดของมาเนียน (Manian, 2003) เกี่ยวกับความสุขในการทำงานเป็นกรอบในการวิจัยพื้นที่วิจัยคือ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 332 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multistage Random Sampling<strong>) </strong>เครื่องมือที่ใช้วิจัยมี 1 ชนิด คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) มีค่าความสอดคล้องของแบบสอบถาม (IOC) อยู่ที่ 0.67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ 0.95 ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา เปรียบเทียบตามตำแหน่ง ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษาด้วยสถิติทดสอบ F-test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> <p> 2) ผลการเปรียบเทียบความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน และ ขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มจร สุรนารีสาร https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1054 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมาเขต 3 2024-11-18T12:07:14+07:00 ธีระพล ดวงจำปา theeraphon_dou@vu.ac.th อำนาจ อยู่คำ Theeraphon_dou@vu.ac.th อลงกต ยะไวทย์ theeraphon_dou@vu.ac.th <p> </p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3, (2) เพื่อเปรียบเทียบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามประเภทและขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ เป็นสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 ปีการศึกษา 2566 จำนวณ 124 โรงเรียน โดยผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 5 คน รวมทั้งสิ้น 620 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.81 วิเคราะห์ข้อมูลโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วย t-test, F-test เมื่อพบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทำการทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่โดยวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffé’s Method) ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>(1) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การบริหารงานงบประมาณ รองลงมา คือ การบริหารงานวิชาการ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การบริหารงานทั่วไป</p> <p>(2) การเปรียบเทียบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามประเภทของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยโรงเรียนขยายโอกาสมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานสถานศึกษามากกว่าโรงเรียนประถมศึกษา และจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โรงเรียนขนาดใหญ่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานสถานศึกษามากกว่าโรงเรียนขนาดกลางและโรงเรียนขนาดเล็ก และโรงเรียนขนาดกลางมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานสถานศึกษามากกว่าโรงเรียนขนาดเล็ก</p> 2024-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มจร สุรนารีสาร https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1237 ข้อธรรมดีๆ ใน 4 สังเวชนียสถาน 2024-12-12T16:32:16+07:00 ธีรวิชญ์ วงษ์วีรสุวรรณ kherk007@gmail.com กุลพิสิฐ ขวาไทย phee9494@gmail.com <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผู้วิจารณ์ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเกิดความประทับใจในการอธิบายข้อธรรมให้เข้าใจง่าย ใช้ภาษาง่ายๆ แต่ละเอียดลุ่มลึก ทำให้เกิดสังเวคธรรม คือได้แง่คิดและมุมมองใหม่ๆ แม้ว่าเป็นการบรรยายธรรมแก่คณะทัวร์ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวชมสังเวชนียสถาน นอกจากจะบรรยายความสำคัญของสถานที่แล้ว คณะทัวร์ยังได้ฟังข้อธรรมที่ลึกซึ้งอีกด้วย มีการยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน ไม่ใช่เหตุให้เกิดนิพพาน นิพพานนั้นมีอยู่แล้ว เพียงเดินให้ถูกทางก็จะถึงเอง เหมือนอินเดียมีอยู่แล้ว เพียงเดินให้ถูกทางก็จะถึงเอง ไม่ใช่เดินทางไปเพื่อสร้างอินเดียเป็นต้น ยังมีคำอธิบายเชิงอภิปรัชญาเช่นนี้แทรกอยู่ทุกเรื่อง สะท้อนให้เห็นถึงผู้บรรยายมีภูมิรู้ภูมิธรรมเป็นอย่างดีและเป็นหนังสือที่ตอบคำถามว่า ธรรมะคืออะไรได้อย่างแจ่มแจ้ง</p> 2024-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มจร สุรนารีสาร https://so14.tci-thaijo.org/index.php/msjkorat/article/view/1262 แบบฟอร์มการเขียนบทความ 2024-12-29T16:48:21+07:00 Chokchai Chomnawang mcusuranaree@gmail.com <p>ผู้แต่งควรศึกษาแบบฟอร์มของการเขียนบทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ตามแบบฟอร์ม ที่แนบมานี้ โดยท่านสามารถดาวน์โหลดมาใช้เป็นแม่แบบการเขียนบทความได้</p> 2024-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 มจร สุรนารีสาร