วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal
<p><strong><em>ISSN</em></strong><em>: - </em><strong><em>E-ISSN</em></strong><em>: </em><em>2774-0943</em></p> <p><strong><em>กำหนดออก</em></strong><em> : </em><em>3 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม และฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม </em></p> <p><strong><em>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : </em></strong><em>วารสารฯ มีนโยบายเพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ จากงานวิจัยเชิงสร้างสรรค์ ทางด้านมนุษย์ศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ในมิติความรู้ สหวิทยาการสมัยใหม่ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</em></p>
สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยนครพนม
th-TH
วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
2774-0943
<p>ข้อเขียนหรือบทความใดๆ ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Online) ฉบับนี้ เป็นความคิดเห็นเฉพาะส่วนตัวของผู้เขียนและกองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และวารสารวิจัยและพันาอนุภูมิภาค ลุ่มน้ำโขง (Online) ไม่มีข้อผูกพันธ์ประการใดๆ อนึ่งกองบรรณาธิการวารสารยินดีรับพิจารณาบทความจากนักวิชาการ นักศึกษา ตลอดจนผู้อ่าน และผู้สนใจทั่วไป เพื่อนำลงตีพิมพ์ สำหรับบทความจะผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกสถาบัน</p>
-
การจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น ผสานกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เพื่อเสริมสร้างการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1414
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความก้าวหน้าทางการเรียนก่อนและหลังเรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น ผสานกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อเสริมสร้างการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2) เปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ระหว่างก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น ผสานกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อเสริมสร้างการคิดวิเคราะห์ การวิจัยใช้วิธีเชิงปฏิบัติการกับกลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 20 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น ผสานกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2) แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ก่อนและหลังเรียน และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที (t-test dependent)<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ของผู้เรียนมีค่าเท่ากับ 0.78 แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ในระดับสูง 2) ทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียน (33.85) สูงกว่าก่อนเรียน (12.20) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 28.46, p = .000) 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น ผสานกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อเสริมสร้างการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับมากที่สุด (4.52)</p>
ยศภัทร ประเสริฐ
สุวิสาข์ จรัสกมลพงศ์
พิจิตรา ธงพานิช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-22
2025-08-22
4 2
1
13
-
การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์แบบมีส่วนร่วม ภายใต้แนวคิด Brand Storytelling เพื่อประชาสัมพันธ์ธุรกิจผ้าไหม กรณีศึกษา ร้านไหมแก้ว ผ้าไทย
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1420
<p> การศึกษาการพัฒนาสื่อวิดิทัศน์แบบมีส่วนร่วม ภายใต้แนวคิด Brand Storytelling นี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนา สื่อวีดิทัศน์ ภายใต้แนวคิด Brand Storytelling แบบมีส่วนร่วมเพื่อประชาสัมพันธ์ ร้านไหมแก้ว ผ้าไทย รวมทั้งศึกษา ความพึงพอใจของผู้รับสารต่อสื่อวีดิทัศน์และผลการประชาสัมพันธ์ ซึ่งเริ่มการดำเนินงานศึกษาโครงงานนี้ในเดือนพฤศจิกายน 2566 เป็นการดำเนินงานเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research; PAR) กับผู้ประกอบการร้านไหมแก้วผ้าไทย โดยการบอกเล่าเรื่องราวของร้านค้า; Brand Storytelling และพัฒนาสื่อดิจิทัลยึดตามหลักการออกแบบ 4P ในการศึกษาความพึงพอใจของผู้รับสาร ผลการศึกษาพบว่า ผู้รับสารจำนวน 50 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 78) มีอายุเฉลี่ย 22 ปี โดยส่วนใหญ่ไม่เคยซื้อสินค้าจากร้าน ร้อยละ 70 ส่วนผลการประเมินระดับความพึงพอใจของผู้รับสารที่มีต่อสื่อวิดีทัศน์ภายใต้แนวคิด Brand Storytelling ร้านไหมแก้ว ผ้าไทย ในภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ที่ค่าเฉลี่ย 4.20 ซึ่งหลังจาก การประชาสัมพันธ์สื่อวีดิทัศน์พบว่า หลังการประชาสัมพันธ์ มียอดการมีส่วนร่วมของเพจที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 135 และมียอดการส่งข้อความเพื่อร่วมสนทนาสอบถาม แสดงถึงความสนใจในสินค้ามากขึ้นร้อยละ 37.77 ซึ่งส่งผลต่อยอดขายของร้าน ชี้ให้เห็นว่า การใช้สื่อวีดิทัศน์ที่ผลิตแบบมีส่วนร่วมภายใต้แนวคิด Brand Storytelling เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารคุณค่าของแบรนด์และส่งเสริมการตัดสินใจซื้อของลูกค้า</p>
รัชนีกร หัดรัดชัย
ฝากจิต ปาลินทร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-22
2025-08-22
4 2
14
25
-
การพัฒนาความสามารถด้านความคิดสร้างสรรค์ผลงาน ด้วยการจัดการเรียนรู้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัล ทางการเรียนวิชาศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1389
<p> ความคิดสร้างสรรค์เรียกได้ว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวันในด้านต่างๆ อีกทั้งยังเป็นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบพัฒนาการคิดสร้างสรรค์ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัล ทางการเรียนวิชาศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตามเกณฑ์ร้อยละ 80 2) เปรียบเทียบผลงานของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัล ทางการเรียนวิชาศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัล ทางการเรียนวิชาศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงทดลอง กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 5 โรงเรียนสุนทรวิจิตร(บำรุงวิทยา) อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ห้อง 5/1 จำนวน 23 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม(cluster ran dom sampling) เครื่องมือที่ใช้จัดเก็บข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัล จำนวน 10 แผน แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ แบบประเมินวัดผลงาน แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัล ทางการเรียนวิชาศิลปะสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบพัฒนาการคิดสร้างสรรค์ผลงานก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัล ทางการเรียนวิชาศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีการพัฒนาการความคิดสร้างสรรค์สูงขึ้น เกณฑ์ร้อยละ 80 2) ผลการเปรียบเทียบผลงานนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัล ทางการเรียนวิชาศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ ด้วยการจัดการเรียนรู้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัล ทางการเรียนวิชาศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (X ̅= 4.64 , S.D.= 0.28 ) <br /><br /><br /></p>
ปิยฉัตร โพนชัย
วัชรี แซงบุญเรือง
สุภาวดี กาญจนเกต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-22
2025-08-22
4 2
26
36
-
รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูมัธยมศึกษาในศตวรรษที่ 21 โรงเรียนสังกัดเทศบาล ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1559
<p> การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ (1) ศึกษาองค์ประกอบและความต้องการจำเป็นในการพัฒนาองค์ประกอบสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 (2) สร้างและพัฒนารูปแบบสมรรถนะครู (3) ศึกษาผลของการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครู การดำเนินการวิจัยมี 3 ระยะ 7 ขั้นตอน คือ ระยะที่ 1 ศึกษารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครู ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบสอบถามความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะครู ระยะที่ 2 จัดทำรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครู โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 6 คน ตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบ ระยะที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการพัฒนา คือ ครูมัธยมศึกษา โรงเรียนชุมชนเทศบาล ๓ (พินิจพิทยานุสรณ์) จำนวน 32 คน<br /> ผลการวิจัย พบว่า (1) องค์ประกอบสมรรถนะครู มี 3 สมรรถนะ 10 องค์ประกอบย่อย และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะครูจากสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ สมรรถนะประจำสายงาน สมรรถนะหลัก และสมรรถนะส่วนบุคคล (2) รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครู ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กระบวนการพัฒนา สื่อและแหล่งเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล องค์ประกอบของรูปแบบ พบว่า โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (3) การทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครู พบว่า สมรรถนะครูมีความก้าวหน้าโดยรวมร้อยละ 88.35 เมื่อพิจารณาเป็นรายสมรรถนะ พบว่า สมรรถนะส่วนบุคคลมีพัฒนาเพิ่มขึ้นมากที่สุด ร้อยละ 92.94 รองลงมาคือสมรรถนะหลัก ร้อยละ 87.59 และสมรรถนะประจำสายงาน ร้อยละ 84.30</p>
รสสุคนธ์ คำสุข
ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์
วัฒนา สุวรรณไตรย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-22
2025-08-22
4 2
37
49
-
การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร โดยใช้แบบฝึกการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ตามรูปแบบการสอนซินเนคติกส์
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1419
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาชุดแบบฝึกการเขียนเชิงสร้างสรรค์สำหรับพัฒนาทักษะด้านการเขียนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและด้านความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษา ตามรูปแบบการสอนซินเนคติกส์ 2) เพื่อศึกษาผลของการใช้แบบฝึกการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ตามรูปแบบการสอนซินเนคติกส์ และ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบซินเนคติกส์ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง โดยใช้ทฤษฎีซินเนคติกส์ร่วมกับแบบฝึกทักษะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยนครพนมที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาสุนทรียภาพทางภาษาไทย ในภาคเรียนที่ 2/2567 จำนวน 32 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบฝึกการเขียนเชิงสร้างสรรค์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดการเรียนการสอนตามรูปแบบซินเนคติกส์ แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ และแบบทดสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนการสอนตามรูปแบบซินเนคติกส์ <br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพชุดแบบฝึกการเขียนเชิงสร้างสรรค์ตามรูปแบบการสอนซินเนคติกส์ มีผลการประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญในระดับมีคุณภาพดี สามารถนำไปใช้กับผู้เรียนได้ และผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพชุดแบบฝึกการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งพิจารณาจากค่าเฉลี่ยของคะแนนจากการทำแบบฝึกหัดทักษะในการเขียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แสดงว่าชุดการสอนมีประสิทธิภาพ 2) ความสามารถในการเขียนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ของผู้เรียน ที่จัดการเรียนการสอนตามรูปแบบซินเนคติกส์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยที่กำหนด และ 3) ผู้เรียนมีความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบซินเนคติกส์โดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด</p>
ปุณชญา ศิวานิพัทน์
พักตร์พริ้ง พลหาญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-22
2025-08-22
4 2
50
62
-
ภาวะผู้นำแห่งอนาคตของผู้บริหารโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ในทศวรรษหน้า (พ.ศ. 2568 – 2578)
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1560
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำแห่งอนาคตของผู้บริหารโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในทศวรรษหน้า (พ.ศ. 2568<strong>–</strong>2578) โดยใช้เทคนิคการวิจัยแบบ Ethnographic Delphi Futures Research (EDFR) กลุ่มตัวอย่างได้แก่ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 32 คน ซึ่งได้รับการเลือกแบบเจาะจง โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา ในรอบที่ 1 ดำเนินการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างเพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ประกอบของภาวะผู้นำแห่งอนาคตของผู้บริหาร 9 องค์ประกอบ รวมทั้งสิ้น 45 ประเด็น จากนั้นพัฒนาแบบสอบถามเพื่อใช้ในรอบที่ 2 โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่ามัธยฐาน (Mdn) ค่าฐานนิยม (Mo) และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ (IQR) เพื่อหาฉันทามติจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำแห่งอนาคตที่จำเป็นต่อผู้บริหารโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในทศวรรษหน้ามี 9 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การมีวิสัยทัศน์ 2) การยอมรับการเปลี่ยนแปลง 3) การทำงานเป็นทีม 4) การสร้างเครือข่าย 5) การสร้างแรงจูงใจและแรงบันดาลใจ 6) คุณธรรมและจริยธรรม 7) ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต 8) ความฉลาดรู้ทางดิจิทัล และ 9) การเป็นผู้นำเหนือผู้นำ ซึ่งคุณลักษณะทั้งเก้านี้เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนองค์กรทางการศึกษาให้สามารถปรับตัว พัฒนา และเติบโตได้อย่างยั่งยืนในบริบทของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อนในอนาคต</p>
อเนชา วิลาไชย
สายันต์ บุญใบ
จิณณวัตร ปะโคทัง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-22
2025-08-22
4 2
63
74
-
แนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวฮางของวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกข้าว ตำบลบ้านเหล่า อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1524
<p> ข้าวฮาง คือ ข้าวกล้องชนิดหนึ่ง ที่ผลิตด้วยการนำข้าวเปลือกมาผ่านกระบวนการ แช่ นึง ผึ่ง สีเป็นข้าวสาร ซึ่งข้าวฮางเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสกลนคร ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในพื้นที่ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ข้าวฮางในรูปแบบข้าวสารเท่านั้น ทำให้เกิดการแข่งขันของผู้ประกอบการในพื้นที่ การศึกษานี้จึงมุ่งค้นหาแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวฮางของวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกข้าวตำบลบ้านเหล่า โดยเริ่มจาก (1) ศึกษาบริบทชุมชน สภาพการผลิตและการตลาดข้าวฮางของวิสาหกิจชุมชนผ่านเทคนิค Rapid Rural Appraisal (RRA) และ (2) ศึกษาแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวฮาง ผ่านเทคนิค Appreciation-Influence-Control (AIC) ดำเนินการศึกษาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ถึง เดือนมีนาคม 2567 พบว่า (1) วิสาหกิจชุมชนตำบลบ้านเหล่า มีสมาชิก 40 ราย พื้นที่เพาะปลูกข้าวรวม 525 ไร่ ผลิตข้าวฮาง 4 รอบ/ปี ได้ข้าวฮางปีละ 2,150 กิโลกรัม โดยมีการจำหน่ายผ่านที่ทำการวิสาหกิจชุมชนมากที่สุด รองลงมาผ่านงานจัดจำหน่าย และผ่านทางโทรศัพท์ สำหรับ (2) แนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวฮางที่สามารถพัฒนาให้เป็นไปได้ภายใน 1 ปี มี 2 แนวทางหลัก คือ (2.1) การสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวฮาง มีแนวทาง 2 แนวทางย่อย ได้แก่ (ก) พัฒนาองค์ความรู้การแปรรูปข้าวฮาง และ (ข) การพัฒนาการแปรรูปข้าวฮาง บรรจุภัณฑ์และตราสินค้า และ (2.2) การสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการพัฒนาการตลาดดิจิทัล </p>
อมิตา ขาวสุด
ยศ บริสุทธิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-22
2025-08-22
4 2
75
90
-
การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดโพธิ์ทอง
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1435
<p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดโพธิ์ทองให้มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนกับก่อนเรียน ของนักเรียนที่ได้เรียนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 ของโรงเรียนวัดโพธิ์ทอง จำนวน 24 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ 1) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน เป็นเครื่องมือในการวิจัย และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2 </sub>และการทดสอบสมมุติฐาน (t-test)<br /> ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดโพธิ์ทอง มีประสิทธิภาพของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาขึ้น เท่ากับ 81.56/83.50 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 พบว่าความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
รชกร จาบรัมย์
อนล สวนประดิษฐ์
เลอสันต์ ฤทธิขันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-22
2025-08-22
4 2
91
100
-
คุณภาพการให้บริการกับประสิทธิภาพของการบริการสาธารณะ ด้านโครงสร้างพื้นฐานของงานกองช่าง องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1449
<p> องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลที่มีความใกล้ชิดประชาชนและเกี่ยวเนื่องกับทุกข์สุขของประชาชนที่สุดภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีขอบเขตที่กว้างขวางเกี่ยวกับความกินดีอยู่ดีของประชาชนในแทบทุกด้าน และมีผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนไม่ว่าจะในเรื่องเศรษฐกิจการศึกษาความปลอดภัยฯลฯ เป็นต้น โดยหน้าที่หลักประการหนึ่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ การบริการประชาชนประกอบกับการปกครองส่วนท้องถิ่นโดยระบบองค์กรปกส่วนครองท้องถิ่นนั้น การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณภาพการให้บริการ ของงานกองช่าง องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม 2) ศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริการสาธารณะด้านโครงสร้างพื้นฐาน ของงานกองช่าง องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม และ 3) ศึกษาคุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริการสาธารณะด้านโครงสร้างพื้นฐานของงานกองช่าง องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณในการศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม จำนวนทั้งสิ้น 375 คน ผู้วิจัยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตรทาโร่ยามาเน่ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง<br /> ผลการวิจัยมีดังนี้ 1) ระดับคุณภาพการให้บริการเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านกระบวนการขั้นตอนการให้บริการ 2) ระดับประสิทธิภาพการบริการสาธารณะ ด้านโครงสร้างพื้นฐานของงานกองช่างเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน 3) ผลการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณคุณภาพการบริการด้านสาธารณะ ทั้ง 6 ด้าน ด้านโครงการก่อสร้างถนน ด้านโครงการปรับปรุงซ่อมแซมถนน ด้านโครงการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ ด้านการดูแลซ่อมแซมปรับปรุงระบบไฟฟ้า สาธารณะ ด้านโครงการก่อสร้างระบบประปาหมู่บ้าน ด้านโครงการซ่อมแซมระบบประปาหมู่บ้าน และการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 </p>
นวพล เมาลี
วรวุฒิ อินทนนท์
สำราญ วิเศษ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-22
2025-08-22
4 2
101
112
-
สมรรถนะของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดนครพนม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1582
<p> การศึกษาสมรรถนะของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาและยกระดับการบริหารจัดการท้องถิ่นให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดนครพนม 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดนครพนม และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดนครพนม รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ จากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดนครพนม จำนวน 267 คน โดยการหาขนาดกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีคำนวณจากสูตรของทาโร ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าดัชนี IOC เท่ากับ 0.99 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และการวิจัยเชิงคุณภาพ จากกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดนครพนม จำนวน 16 คน เลือกโดยวิธีการแบบเจาะจง โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแนวคำถามเพื่อการวิจัยในการสนทนากลุ่ม (Focus Group) ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) <br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับสมรรถนะของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดนครพนม โดยรวมอยู่ในระดับสูง 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดนครพนม ได้แก่ ด้านเทคโนโลยี ด้านส่วนบุคคล ด้านสิ่งแวดล้อม และ ด้านองค์กร ซึ่งตัวแปรอิสระทั้ง 4 ตัวแปร มีอำนาจในการพยากรณ์ร้อยละ 28.20 มีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดนครพนม ควรคำนึงถึงบริบทเฉพาะของพื้นที่ ด้านภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ด้านวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ ด้านเศรษฐกิจที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การพัฒนาสมรรถนะอย่างเป็นระบบและเชื่อมโยงกับบริบทท้องถิ่นเป็นแนวทางสำคัญในการยกระดับการบริหารจัดการท้องถิ่นให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง ข้อเสนอแนะในการพัฒนาผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใส การปรับโครงสร้างองค์กรให้ยืดหยุ่น และการบูรณาการเทคโนโลยีกับวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและบทบาทผู้นำท้องถิ่นในยุคดิจิทัล</p>
ภิรมย์ มองบุญ
วรวุฒิ อินทนนท์
กชกร เดชะคำภู
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-22
2025-08-22
4 2
113
131
-
Thai Buffalo Product Development: A Systematic Review for Sustainable Practices and Market Opportunities
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1487
<p> This study aimed to analyze the potential of Thai buffalo in the context of sustainable product development and market opportunities both domestically and internationally. A systematic literature review was employed to collect data on trends in the development of Thai buffalo products. The study covered keyword analysis, network linkage, and research trends between 2009 and 2025. A PRISMA systematic review was used to screen 24 research articles, demonstrating clear screening and analysis of articles from sources in the Scopus database during 2009-2025. The results revealed that Thai buffalo products, especially buffalo milk and buffalo meat, have high potential to meet the demands of consumers who value quality, safety, and sustainability, especially in markets that emphasize alternative protein sources and local products. This study also emphasized the importance of developing technologies and innovations to enhance the quality standards and increase the competitiveness of Thai buffalo products in the global market. The results of the network analysis of keywords such as “buffalo”, “milk”, and “meat” reflect the roles of buffalo products in animal health and food production. In addition, the study emphasized international cooperation, such as Thailand, India, and the United States, in developing innovations and exchanging relevant knowledge. The findings offer valuable insights for researchers, entrepreneurs, government agencies, and the private sector in formulating strategies to enhance the value of Thai buffalo products and support sustainable development. Furthermore, these insights can inform policy-making and guide the development of business plans at both national and international levels.</p>
Nuttawan Pongkan
Nawarat Bunphila
Danai Siriburee
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-22
2025-08-22
4 2
132
143
-
การออกแบบอัตลักษณ์ใหม่ของผ้าตีนซิ่นบ้านนาบัวสู่ผลิตภัณฑ์แฟชั่นเครื่องแต่งกาย ด้วยฐานทุนทางวัฒนธรรม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1623
<p style="font-weight: 400;"> การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาแนวทางการออกแบบพัฒนาอัตลักษณ์ใหม่ของผ้าตีนซิ่นบ้านนาบัวสู่ผลิตภัณฑ์แฟชั่นเครื่องแต่งกาย ด้วยฐานทุนทางวัฒนธรรม โดยวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาผ้าตีนซิ่นบ้านนาบัว การลงพื้นที่ภาคสนาม ณ หมู่บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม เพื่อเก็บข้อมูลด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสิ่งทอทางภูมิปัญญา โดยใช้เครื่องมือแบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม ซึ่งมีประชากรและกลุ่มตัวอย่างคือกลุ่มผู้ประกอบการทอผ้าบ้านนาบัว ปราชญ์ชาวบ้านและกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่เจเนอเรชั่นวาย (Gen Y)ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มทอผ้าบ้านนาบัวมีภูมิปัญญาที่สืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น นั่นคือ ภูมิปัญญาการทอผ้า และสิ่งที่เป็นอัตลักษณ์<br />ของกลุ่มฯ คือผ้าตีนซิ่นซึ่งจะใช้เพื่อการประดับตกแต่งเครื่องแต่งกาย ผืนผ้าจะทอด้วยเส้นใยฝ้ายในเทคนิคการทอและลวดลายที่หลากหลาย เช่น เทคนิคการมัดหมี่ การยกดอกและการทอลายผ้ามุก แต่ปัจจุบันพบว่ารูปแบบผ้าตีนซิ่นในลักษณะนี้ไม่เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้กลุ่มทอผ้าบ้านนาบัวไม่สามารถจัดจำหน่ายสินค้าได้ตามต้องการ จากประเด็นปัญหาดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการค้นหาอัตลักษณ์ด้วยฐานทุนทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาและประวัติศาสตร์เชิงพื้นที่เพื่อที่จะสร้างอัตลักษณ์ใหม่ที่ร่วมสมัย ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงความคิด (Design Thinking) ที่ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มทอผ้าบ้านนาบัวและเกิดการกระจายรายได้ในพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยมีผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ต้นแบบ ได้แก่ เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย จากแนวทางดังกล่าวได้ทำการประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบผลิตภัณฑ์แฟชั่นเครื่องแต่งกายจากผ้าตีนซิ่นบ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม 2 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านรูปแบบ/ความสวยงามของผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์จากการออกแบบอัตลักษณ์ใหม่ของผ้าตีนซิ่นบ้านนาบัว ด้วยฐานทุนทางวัฒนธรรม ประกอบด้วยลักษณะรูปแบบของผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์มีลักษณะโดดเด่นและทันสมัย เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีค่าเฉลี่ย (x̄) = 4.52 ซึ่งอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด ลักษณะสินค้ามีรูปแบบหลากหลายและมีประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น ซึ่งมีค่าเฉลี่ย (x̄) = 4.33 ซึ่งอยู่ในระดับเหมาะสมมาก ลักษณะสินค้ามีรูปแบบร่วมสมัยสร้างความแปลกใหม่ให้กับผ้าทอและผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย (x̄) = 4.39 ซึ่งอยู่ในระดับเหมาะสมมาก ลักษณะผลิตภัณฑ์สินค้าสามารถใช้งานได้หลากหลายโอกาส ซึ่งมีค่าเฉลี่ย (x̄) = 4.54 ซึ่งอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด และผลรวมจากการตอบแบบสอบถามของกลุ่มผู้บริโภคฯ ในด้านที่ 1 มีค่าเฉลี่ย (x̄) = 4.44 ซึ่งอยู่ในระดับเหมาะสมมาก และ 2. ด้านโครงสร้างลวดลายและสี ประกอบด้วยลักษณะลวดลายทอบนผืนผ้าสะท้อนอัตลักษณ์ใหม่ของบ้านนาบัวที่ดูเรียบง่าย (Minimal) แต่มีความร่วมสมัย ซึ่งมีค่าเฉลี่ย (x̄) = 4.60 ซึ่งอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด ลักษณะการใช้โทนสี (Colorways) ของผลิตภัณฑ์มีความสวยงามเหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย (x̄) = 4.55 ซึ่งอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด และผลรวมจากการตอบแบบสอบถามของกลุ่มผู้บริโภคฯ ในด้านที่ 2 มีค่าเฉลี่ย (x̄) = 4.57 ซึ่งอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด</p>
อุษา ประชากุล
จรินทร โคตพรม
ณัชชา ปาพรม
พิมสวิยา ฐานวิเศษ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-22
2025-08-22
4 2
144
160