วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal
<p><strong><em>ISSN</em></strong><em>: - </em><strong><em>E-ISSN</em></strong><em>: </em><em>2774-0943</em></p> <p><strong><em>กำหนดออก</em></strong><em> : </em><em>3 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม และฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม </em></p> <p><strong><em>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : </em></strong><em>วารสารฯ มีนโยบายเพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ จากงานวิจัยเชิงสร้างสรรค์ ทางด้านมนุษย์ศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ในมิติความรู้ สหวิทยาการสมัยใหม่ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</em></p>
สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยนครพนม
th-TH
วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
2774-0943
<p>ข้อเขียนหรือบทความใดๆ ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Online) ฉบับนี้ เป็นความคิดเห็นเฉพาะส่วนตัวของผู้เขียนและกองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และวารสารวิจัยและพันาอนุภูมิภาค ลุ่มน้ำโขง (Online) ไม่มีข้อผูกพันธ์ประการใดๆ อนึ่งกองบรรณาธิการวารสารยินดีรับพิจารณาบทความจากนักวิชาการ นักศึกษา ตลอดจนผู้อ่าน และผู้สนใจทั่วไป เพื่อนำลงตีพิมพ์ สำหรับบทความจะผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกสถาบัน</p>
-
รูปแบบการเรียนรู้ตามแบบสะตีมร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐาน สำหรับกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/821
<p> ปัจจุบันสะตีมศึกษา (STEAM Education) เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และแสดงให้เห็นประโยชน์ในเชิงบวกต่อการเรียนรู้ของนักเรียนในด้านวิทยาศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์รูปแบบการเรียนรู้แบบสะตีมร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐาน สำหรับกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งใช้กระบวนการสังเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง กำหนดองค์ประกอบ และสรุปผลเป็นขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับบริบทของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เพื่อการส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ<br /> ผลการศึกษาพบว่า การจัดการเรียนรู้แบบสะตีมร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐาน ประกอบด้วย 8 ขั้นตอน ได้แก่ 1) นำเข้าสู่บทเรียนด้วยสถานการณ์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง 2) เชื่อมโยงสถานการณ์กับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ 3) ระบุปัญหาและทำความเข้าใจ 4) ออกแบบกระบวนการ/ชิ้นงานเพื่อแก้ปัญหา 5) ทดสอบและปรับปรุงชิ้นงาน 6) บูรณาการศิลปะสร้างสรรค์ 7) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ 8) สรุปและประเมินผล</p> <p> </p>
มิรันตี เหล่าเกิด
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-30
2024-12-30
3 3
1
12
-
การพัฒนากระบวนการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนโปรแกรมอย่างง่าย แบบวนซ้ำ รายวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/815
<p> การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนโปรแกรมอย่างง่ายแบบวนซ้ำ ในรายวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีผลการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ 2) เพื่อศึกษาทักษะการเขียนโปรแกรมอย่างง่ายแบบวนซ้ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 13 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน 2) แบบประเมินทักษะการเขียนโปรแกรมอย่างง่ายแบบวนซ้ำ และ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที (t-test)<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) กระบวนการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมการเขียนโปรแกรมเขาวงกตสุดคลาสสิค ประกอบด้วย 15 บทเรียน ผ่านเว็บไซต์ code.org โดยจัดกิจกรรม 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนการอธิบายและนำเสนอเกม ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรมการเล่นเกมตามกติกา และขั้นตอนการสรุปผลการเล่นเกม และ 2) นักเรียนมีทักษะการเขียนโปรแกรมอย่างง่ายแบบวนซ้ำ หลังจากผ่านกระบวนการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน มีผลการประเมินค่าคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าค่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยค่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คือ 4.77 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ 1.17 ค่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน คือ 9.15 จากคะแนนเต็ม 10 คิดเป็นร้อยละ 91.5 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ 1.34 และผลการประเมินทักษะการเขียนโปรแกรมอย่างง่ายแบบวนซ้ำ พบว่าค่าคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าค่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยค่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คือ 5.38 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ 0.87 และค่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน คือ 8.62 คิดเป็นร้อยละ 86.2 และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ 1.12</p>
วันวิสาข์ ชมศิริ
สุวิสาข์ จรัสกมลพงศ์
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-30
2024-12-30
3 3
13
26
-
การพัฒนาห้องปฏิบัติการ มหาวิทยาลัยนครพนมตามมาตรฐานการยกระดับมาตรฐาน ความปลอดภัยห้องปฏิบัติการวิจัยในประเทศไทย (ESPReL)
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1056
<p> งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและยกระดับห้องปฏิบัติการที่ใช้สารเคมีของมหาวิทยาลัยนครพนมให้เป็นห้องปฏิบัติการที่ปลอดภัยตามมาตรฐานการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการวิจัยในประเทศไทย (ESPReL) จากการสำรวจข้อมูลพื้นฐานของห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีของมหาวิทยาลัยนครพนม พบว่า 23 ห้องปฏิบัติการ โดยมีข้อเสนอแนะในการพัฒนายกระดับห้องปฏิบัติการอ้างอิงจาก ESPReL Checklist 7 องค์ประกอบ ดังนี้ 1) ควรจัดให้มีการตรวจประเมินสภาพโครงสร้างอาคารและระบบต่าง ๆ ของอาคาร ห้องปฏิบัติการเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยผู้เชี่ยวชาญ 2) ผู้บริหารที่มีบทบาทในการกำกับดูแลการดำเนินงานต้านความปลอดภัยควรได้รับความรู้ในเรื่องระบบการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และ 3) ห้องปฏิบัติการควรประเมินความเสี่ยงในการใช้งานสารเคมี การจัดเก็บ การทิ้ง และเส้นทางการสัมผัส เพื่อกำหนดมาตรการในการควบคุมและลดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยห้องปฏิบัติการที่เข้าร่วมกระดับห้องปฏิบัติการ และ ประเมินความปลอดภัยห้องปฏิบัติการ โดยใช้แบบประเมินตาม ESPReL Checklist จำนวน 2 ห้องปฏิบัติการ โดยมีห้องปฏิบัติการเคมีขั้นสูง 1 และ ห้องปฏิบัติการเคมีขั้นสูง 2 โดยมีคะแนนภาพรวมทั้ง 7 องค์ประกอบ ก่อนการปรับปรุงเท่ากับ ร้อยละ 71.2 และ 63 หลังการปรับปรุงเท่ากับ ร้อยละ 95.4 และ 93.6 ตามลำดับ ซึ่งเมื่อพิจารณาตามคะแนนการประเมินตนเอง ห้องปฏิบัติการทั้ง 2 ห้อง สามารถขอรับการประเมินและรับรองห้องปฏิบัติการในรูปแบบการยอมรับร่วม (Peer evaluation)</p>
พรพิมล ควรรณสุ
พฤทธิ์ คำศรี
จรินทร โคตรพรม
วัลลภ บุญทานัง
ภัทราวดี วงษ์วาศ
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-30
2024-12-30
3 3
27
37
-
ผลกระทบของแม่น้ำโขงตอนกลางต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม สุขอนามัย
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/RDGMSJournal/article/view/1218
<p> การวิจัยผลกระทบของแม่น้ำโขงตอนกลางต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม สุขอนามัย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของแม่น้ำโขงตอนกลางต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม สุขอนามัยของประชาชนในลุ่มน้ำโขงที่เกี่ยวข้องกับอาชีพประมงและอาชีพที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำโขง เพื่อเฝ้าระวังการเคลื่อนย้าย และโรคติดต่ออุบัติใหม่ ตั้งแต่เขตจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร รวมทั้งสิ้น 4 จังหวัด โดย เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ทั้งสิ้นจำนวน 400 คน เป็นเพศชายจำนวน 260 คน และเพศหญิง 140 คน ดำเนินการรวบรวมข้อมูลมือสอง สัมภาษณ์ด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และการวิจัยเชิงสำรวจเก็บรวบรวมข้อมูลตามเทคนิคของลิเคิร์ท และวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติเชิงพรรณนา<br /> ผลการวิจัยพบว่า การใช้ประโยชน์ส่วนใหญ่มีการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง คือ ทำการประมง รองลงมาคือ ทำการเกษตร การท่องเที่ยว สูบน้ำเพื่อการเกษตร มีการเดินเรือ สูบน้ำเพื่อทำน้ำประปา จุดผ่อนปรน มีท่าเทียบเรือ ดูดทราย ส่วนการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ริมฝั่งโขง พบว่า มีการทำการเกษตรบริเวณริมตลิ่ง รองลงมาคือ การชลประทานในพื้นที่เกษตรกรรม และใช้เป็นเขตพื้นที่ท่องเที่ยว ด้านผลกระทบของภัยแล้งจากวิกฤติแม่น้ำโขง ด้านสิ่งแวดล้อม พบว่า ปริมาณสัตว์น้ำลดลงและน้ำแห้งขอดจนเรือใหญ่ไม่สามารถข้ามไปมาได้ รองลงมาคือ น้ำแล้งไม่เพียงพอต่อการเกษตร และอื่น ๆ ผลกระทบศึกษาด้านเศรษฐกิจ พบว่า มีผลกระทบด้านการค้าขาย รองลงมาคือมีผลกระทบเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ด้านการท่องเที่ยว<br /> ผลกระทบของแม่น้ำโขงในด้านสังคมที่เป็นบวก พบว่า มีการใช้เทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันมากขึ้น รองลงมาคือ มีการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ร่วมกัน เกิดกระแสการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง ชุมชนมีเกิดการเรียนรู้ในการปกป้องผลประโยชน์และสิทธิของชุมชน มีความร่วมมือและการแบ่งปันข้อมูลด้านการสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และภัยพิบัติจากธรรมชาติ และผลกระทบในด้านสังคมที่เป็นลบ พบว่า เกิดการขนส่งที่ไม่ถูกกฎหมายเพิ่มขึ้น รองลงมาคือ การเคลื่อนย้ายแรงงาน การพัฒนาเป็นสังคมเมือง ทำให้ประชาชนเกิดความเป็นปัจเจกชน มีความรู้สึกแบ่งแยก ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจและความเอื้ออาทรต่อกัน เกิดชุมชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ของเสียและมลพิษจากการขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรม มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ศาสนา และเชื้อชาติ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาอัตลักษณ์ร่วมกันของอาเซียน การใช้แรงงานเด็กที่อาจเพิ่มขึ้นตามกิจกรรมทาง เศรษฐกิจและการแข่งขันทางการค้าที่สูงขึ้น การประท้วงของเกษตรกรจากการถูกตีตลาดสินค้า สุดท้ายผลกระทบวิกฤติน้ำโขงต่อสุขอนามัยนั้นไม่มีผลกระทบต่อสุขอนามัย</p>
เศรษฐา สุขัน
พิมพ์นารา รามางกูร
ประชาชาติ อ่อนคำ
ถนอม ทาทอง
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-30
2024-12-30
3 3
38
47