วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์แห่งเกษตรศาสตร์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU <p><strong>วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์แห่งเกษตรศาสตร์</strong><br /><strong>Journal of Political Science and Public Administration, Kasetsart University</strong></p> <p>ISSN 3088-1218 (Print)<br />ISSN 3088-1285 (Online)</p> <p>-------------------------------------------------------------------------------</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li>ส่งเสริมและเผยแพร่องค์ความรู้ทางรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์: เพื่อเป็นเวทีสำหรับนักวิชาการ นักวิจัย และนักศึกษาในการเผยแพร่ผลงานวิจัย บทความวิชาการ และบทวิเคราะห์ที่มีคุณภาพ</li> <li>พัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการสู่สาธารณะและภาคปฏิบัติ: สนับสนุนการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ในแขนงวิชา การปกครองและการบริหารจัดการท้องถิ่น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การบริหารงานยุติธรรมและความปลอดภัย รัฐประศาสนศาสตร์ และวิชาสายสังคมศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อวิเคราะห์ปัญหาเชิงนโยบาย สังคม และการเมือง</li> <li>สนับสนุนการเรียนการสอนและการผลิตบัณฑิตคุณภาพ: โดยใช้วารสารเป็นแหล่งเรียนรู้และอ้างอิงที่สำคัญสำหรับนิสิตในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา</li> <li>ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณทางวิชาการ: วารสารยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลวิจัย และส่งเสริมความรับผิดชอบทางวิชาการในทุกขั้นตอนของการผลิตและเผยแพร่ความรู้</li> </ol> <p><strong>วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์แห่งเกษตรศาสตร์ </strong>เป็นวารสารวิชาการที่เปิดโอกาสให้นักวิชาการทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการ<strong>โดยไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์จากผู้เขียน</strong></p> <h3 class="" data-start="199" data-end="232"><strong data-start="203" data-end="232">นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong></h3> <p class="" data-start="234" data-end="700">วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (Political Science and Public Administration Journal of Kasetsart University: PSPAJKU) มุ่งเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการในสาขารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และสังคมศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคง มนุษยศาสตร์ การปกครองท้องถิ่น นโยบายสาธารณะ และการบริหารภาครัฐ วารสารมีเป้าหมายในการส่งเสริมองค์ความรู้ที่มีคุณภาพสูงและสนับสนุนการแลกเปลี่ยนทางวิชาการทั้งในระดับชาติและนานาชาติ</p> <p class="" data-start="234" data-end="700"> </p> <hr class="" data-start="702" data-end="705" /> <h3 class="" data-start="707" data-end="737"><strong data-start="711" data-end="737">กระบวนการพิจารณาบทความ</strong></h3> <p class="" data-start="739" data-end="1105">บทความทุกเรื่องที่ส่งเข้ารับการตีพิมพ์ในวารสารจะผ่านกระบวนการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (peer review) อย่างน้อย 2 ท่าน ตามกระบวนการพิจารณาแบบ Double-blind Review โดยผู้ประเมินจะไม่ทราบชื่อของผู้นิพนธ์ และผู้นิพนธ์จะไม่ทราบชื่อของผู้ประเมิน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดอคติในการพิจารณา บรรณาธิการจะพิจารณาความเหมาะสมของบทความในเบื้องต้นก่อนส่งต่อให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา</p> <p> </p> <hr class="" data-start="1107" data-end="1110" /> <h3 class="" data-start="1112" data-end="1148"><strong data-start="1116" data-end="1148">ประเภทของบทความที่รับพิจารณา</strong></h3> <ul data-start="1150" data-end="1255"> <li class="" data-start="1150" data-end="1184"> <p class="" data-start="1152" data-end="1184">บทความวิจัย (Research Article)</p> </li> <li class="" data-start="1185" data-end="1221"> <p class="" data-start="1187" data-end="1221">บทความวิชาการ (Academic Article)</p> </li> <li class="" data-start="1222" data-end="1255"> <p class="" data-start="1224" data-end="1255">บทความปริทัศน์ (Review Article)</p> </li> </ul> <hr class="" data-start="1257" data-end="1260" /> <h3 class="" data-start="1262" data-end="1287"><strong data-start="1266" data-end="1287">ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong></h3> <ul data-start="1289" data-end="1313"> <li class="" data-start="1289" data-end="1300"> <p class="" data-start="1291" data-end="1300">ภาษาไทย</p> </li> <li class="" data-start="1301" data-end="1313"> <p class="" data-start="1303" data-end="1313">ภาษาอังกฤษ</p> </li> </ul> <hr class="" data-start="1315" data-end="1318" /> <h3 class="" data-start="1320" data-end="1336"><strong data-start="1324" data-end="1336">กำหนดออก</strong></h3> <p class="" data-start="1338" data-end="1382">วารสารมีกำหนดตีพิมพ์ <strong data-start="1359" data-end="1374">ปีละ 2 ฉบับ</strong> ดังนี้:</p> <ul data-start="1384" data-end="1457"> <li class="" data-start="1384" data-end="1421"> <p class="" data-start="1386" data-end="1421">ฉบับที่ 1: เดือนมกราคม – มิถุนายน</p> </li> <li class="" data-start="1422" data-end="1457"> <p class="" data-start="1424" data-end="1457">ฉบับที่ 2: เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</p> </li> </ul> <hr class="" data-start="1564" data-end="1567" /> <h3 class="" data-start="1569" data-end="1605"><strong data-start="1573" data-end="1605">ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ</strong></h3> <p class="" data-start="1607" data-end="1798">วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ <strong data-start="1668" data-end="1724">ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการพิจารณาและตีพิมพ์บทความ</strong> (No Article Processing Charges: APC) ทั้งสำหรับบทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> th-TH polscikuj@gmail.com (นางสาวจุติรัตน์ กวินรวีกุล ) polscikuj@gmail.com (นายเบียนนาร์ด ศึกแสนพ่าย) Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลประโยชน์แห่งชาติด้านเศรษฐกิจของไทยภายใต้การพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/2255 <p>บทความนี้มีจุดประสงค์สำคัญในการศึกษาผลประโยชน์แห่งชาติด้านเศรษฐกิจของไทยภายใต้การพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีกรอบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง คือ 1) ทฤษฎีผลประโยชน์แห่งชาติ 2) ทฤษฎีการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างประเทศ และ 3) แนวคิดการพัฒนาความร่วมมือภูมิภาคนิยมและอนุภูมิภาคสู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ซึ่งสามารถนำมาช่วยวิเคราะห์ผลประโยชน์แห่งชาติด้านเศรษฐกิจของไทยภายใต้การพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2000 นอกจากนี้ แนวทางการเพิ่มพูนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไทยผ่านเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจะถูกนำมาอธิบายผ่านสองมิติหลัก คือ การค้า/การลงทุน และโลจิสติกส์ โดยทั้งสองมิตินี้โดยทั้งสองมิตินี้สามารถสะท้อนภาพนโยบายในเชิงบวกและสร้างสรรค์ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยผ่านเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนในช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และประเด็นสุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือ บทสรุปและข้อเสนอแนะทางการศึกษาทั้งเชิงนโยบายและเชิงวิชาการภายใต้การทบทวนประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนของไทยในอนาคต</p> Katsamaporn Rakson ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Katsamaporn Rakson https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/2255 Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700 การปรับระเบียบการบริหารงานบุคคลภาครัฐเพื่อรองรับการจ้างงานรูปแบบใหม่ในยุค Gig Economy https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/2229 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ข้อจำกัดของระเบียบการบริหารงานบุคคลภาครัฐไทยในบริบท Gig Economy และเสนอแนวทางการปรับปรุงเพื่อรองรับการจ้างงานแบบยืดหยุ่น โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเอกสาร ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการบริหารงานภาครัฐสมัยใหม่ ศึกษากฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และเปรียบเทียบแนวปฏิบัติจากต่างประทศที่มีการพัฒนากลไกการจ้างงานแบบยืดหยุ่นหลายรูปแบบ ได้แก่ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และเกาหลีใต้</p> <p>ผลการวิเคราะห์พบว่าระเบียบปัจจุบันมีข้อจำกัดสำคัญ 5 ประการ คือ ความไม่ยืดหยุ่นของกรอบอัตรากำลัง ความซับซ้อนของกระบวนการจัดจ้าง การขาดความชัดเจนของสถานะและสิทธิประโยชน์ ค่าตอบแทนที่ไม่แข่งขันได้ และกลไกการประเมินผลที่ไม่เหมาะสม บทความเสนอกรอบแนวคิดการพัฒนาใน 4 มิติ ประกอบด้วย การแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับการจ้างงานรูปแบบใหม่ การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับบริหารจัดการบุคลากร การกำหนดมาตรฐานค่าตอบแทนและสวัสดิการ และการสร้างระบบพัฒนาทักษะ การนำเสนอในบทความนี้มีนัยสำคัญต่อการพัฒนานโยบายสาธารณะในหลายมิติ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐผ่านการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณภาพ การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรในระยะยาว การสร้างโอกาสทางอาชีพให้กับผู้มีความสามารถที่ต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน และการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานในอนาคต ทั้งนี้ การนำไปปฏิบัติต้องคำนึงบริบททางสังคมและวัฒนธรรมองค์กร พร้อมการสื่อสารและติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง</p> Rujiraporn Khamlong, รศ. ดร.ศิริพร แย้มนิล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Rujiraporn Khamlong, รศ. ดร.ศิริพร แย้มนิล https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/2229 Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้ PPP ในโครงการก่อสร้างภาครัฐไทย https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/1894 <p>การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยจะก้าวหน้าไปได้ดีนั้น ขึ้นอยู่กับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นสำคัญ แต่ด้วยข้อจำกัดทางงบประมาณของภาครัฐ ทำให้การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) กลายเป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบโจทย์และยั่งยืน ประเทศไทยเริ่มนำระบบ PPP มาใช้ตั้งแต่ปี 2530 และมีการปรับปรุงกฎหมายและขั้นตอนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในปัจจุบัน บทความวิชาการนี้ ผู้เขียนจะนำเสนอ 1) แนวคิดพื้นฐานของ PPP และรูปแบบที่ใช้ในภาคก่อสร้าง 2) สถานการณ์ปัจจุบันของการใช้ PPP ในโครงการก่อสร้างภาครัฐไทย 3) กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง 4) ความท้าทายในการประยุกต์ใช้ PPP และ 5) แนวทางส่งเสริมและพัฒนาระบบ PPP ให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย องค์ความรู้จากบทความนี้ สามารถนำไปเป็นแนวทางในการวางแผนและดำเนินโครงการ PPP ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมองเห็นภาพรวมของความร่วมมือที่เหมาะสม รวมถึงการจัดสรรความเสี่ยงที่เป็นธรรม และการสร้างกรอบการทำงานที่โปร่งใสและยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนและเศรษฐกิจของชาติได้อย่างแท้จริง</p> Parinthorn Sirieawphikul ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Parinthorn Sirieawphikul https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/1894 Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700 Perpetuating The Kashmir Imbroglio https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/1641 <p>This paper applies the Protracted Social Conflict (PSC) theory, as developed by Edward Azar, to examine the Kashmir conflict, arguing that it is a paradigmatic example of identity-motivated, needs-based conflict perpetuated by governance failures and international connections. The research employs qualitative documentary research, drawing on primary and secondary sources, to investigate how the Kashmir case between 1947 and 2025 reflects four key variables of Azar (communal content, human needs deprivation, governance and state role, and international linkages). The evidence shows that the partitioning of colonies established hard Hindu-Muslim communal borders, which autocrats later used to organise political forces. The denial of security, identity and participatory needs as systemic violence makes the grievance cycles continue, and the centralisation of the administration in India and the proxy Pakistan support has delegitimised the state structures. External interventions such as cross-border terrorism and the involvement of great powers have caused internationalised local tensions. Upon reviewing the analysis, it becomes clear that Kashmir exhibits all four PSC preconditions in their most severe manifestations, which explains why traditional diplomatic techniques have not yielded a solution. The article is important to conflict studies because it not only generalises the PSC theory to South Asian nuclear-armed confrontations but also shows that cross-border terrorism serves as a linkage mechanism to the international system, converting bilateral conflicts into regional security threats. The implications are that to achieve sustainable transformation, it is necessary to consider all four variables simultaneously by providing inclusive governance reforms, satisfying human needs, and maintaining independence from external spoilers.</p> Shamsul Azri Mohd Radzi, Faridah Jaafar ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Shamsul Azri Mohd Radzi, Faridah Jaafar https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/1641 Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700 Local Innovators and the Development of “Smart Localities” https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/2081 <p>This study aimed to (1) examine the level of habitual innovative behavior among personnel who function as local innovators in local administrative organizations (LAOs) in Mueang District, Maha Sarakham Province; (2) analyze the factors influencing innovative behaviors; and (3) propose strategic guidelines for enhancing such behaviors to support the development of Smart Locality. A mixed-methods approach following an Explanatory Sequential Design was employed, consisting of quantitative data collected from 400 respondents and qualitative insights derived from open-ended responses and interpretive analysis.Quantitative findings revealed that the overall level of habitual innovative behavior among local innovators was high (X̄ = 3.80, S.D. = 0.45). The highest-scoring dimension was transparent and modern public service (X̄ = 3.90), followed by initiative (3.85), adaptability (3.80), innovation communication (3.75), and implementation behavior (3.70). Multiple regression analysis indicated that only managerial support (β = 0.269, p &lt; .05) and proactive learning of personnel (β = 0.272, p &lt; .05) significantly predicted innovative behavior, while digital technology utilization and innovative organizational climate did not show significant influence.Qualitative findings highlighted that the most frequently recommended strategy was establishing an Innovation Space within LAOs, enabling staff to experiment with new ideas without fear of failure. Other key recommendations included fostering idea-exchange forums between agencies and communities and providing Design Thinking training to enhance creativity and problem-solving. Integrated findings suggest that nurturing innovative behavior requires an enabling environment that supports experimentation, active learning, and strong managerial backing factors essential for driving LAOs toward sustainable Smart Locality development.</p> ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/2081 Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาการจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วม ในการส่งเสริมความปลอดภัยของผู้สูงอายุในองค์การบริหารส่วนตำบลปากแพรก อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/2183 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการจัดการขององค์การบริหารส่วนตำบลปากแพรกในการส่งเสริมความปลอดภัยของผู้สูงอายุ และ (2) ศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุ<br>ในกิจกรรมด้านความปลอดภัย รวมถึงผลของการมีส่วนร่วมต่อการดำเนินงาน<br>ขององค์การบริหารส่วนตำบลปากแพรก อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี งานวิจัยใช้ระเบียบ<br>วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่มจากผู้บริหารท้องถิ่น ผู้นำชุมชนและผู้สูงอายุที่เกี่ยวข้อง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า องค์การบริหารส่วนตำบลปากแพรกมีบทบาทสำคัญ<br>ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต และส่งเสริมความปลอดภัยของผู้สูงอายุผ่านการจัดทำแผนงานโครงการ<br>และกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุเข้ามามีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต โรงเรียนผู้สูงอายุ <br>และการใช้เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้การดำเนินงานอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน <br>ซึ่งมีระบบติดตามประเมินผลเพื่อปรับปรุงการทำงาน ผู้สูงอายุไม่ได้เป็นเพียงผู้รับบริการ แต่ยังมีบทบาทเชิงรุกในการสะท้อนปัญหา เสนอแนวทางและร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชน <br>อย่างไรก็ตามยังพบข้อจำกัดด้านงบประมาณ โครงสร้างพื้นฐาน การเข้าถึงบริการ&nbsp; และการประสานงาน ส่งผลให้ยังคงมีความเหลื่อมล้ำและความเสี่ยงในด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และสังคมที่ต้องการแก้ไขให้ครอบคลุมและต่อเนื่อง เพื่อให้ตำบลปากแพรกก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ<br>ที่มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต</p> Sirada Sombatpiboon, ฐานิตา นุ่นจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Sirada Sombatpiboon, ฐานิตา นุ่นจันทร์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/2183 Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700 Educational Safety Management Laws Explore Dimensions that influence Course Descriptions Focused on Safety School With AI Prompt https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/1892 <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้คือเพื่อศึกษามิติสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคำอธิบายรายวิชาที่เน้นด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา โดยใช้กระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบผ่านการวิเคราะห์กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาได้แก่ กฎหมายด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย กฎหมายแรงงานและกองทุนเงินทดแทน กฎหมายการศึกษา และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจากการสังเคราะห์เอกสารกฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการจัดทำคำอธิบายรายวิชา <em>การบริหารความปลอดภัยในสถานศึกษา</em> ควรบูรณาการมิติทางกฎหมายในหลากหลายด้าน เพื่อให้เกิดความครอบคลุมและสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในบริบทของสถานศึกษา การศึกษาครั้งนี้ได้ระบุประเด็นทางกฎหมายสำคัญ 4 ด้านที่ส่งผลต่อการออกแบบรายวิชา ได้แก่ <strong>กฎหมายด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย</strong> – เน้นมาตรการป้องกัน การประเมินความเสี่ยง และการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในสถานศึกษา <strong>กฎหมายแรงงานและกองทุนเงินทดแทน</strong> – ให้ความคุ้มครองทางกฎหมายและกลไกการชดเชยสำหรับบุคลากรที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุหรือโรคจากการทำงาน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการกำหนดนโยบายด้านความปลอดภัยในสถาบัน <strong>กฎหมายการศึกษา</strong> – กำหนดบทบาท หน้าที่ และสิทธิด้านความปลอดภัยของนักเรียน ครู และผู้บริหารสถานศึกษา ส่งเสริมให้มีการบรรจุเนื้อหาด้านความปลอดภัยไว้ในหลักสูตรอย่างเป็นระบบ <strong>กฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</strong> – รวมถึงกฎหมายแพ่งและกฎหมายปกครองที่สนับสนุนการบังคับใช้มาตรฐานความปลอดภัยและความรับผิดชอบของสถานศึกษา การบูรณาการมิติกฎหมายทั้งสี่ประการนี้ โดยมีการประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยให้เกิดการออกแบบคำอธิบายรายวิชาที่มีโครงสร้างชัดเจน มีพื้นฐานทางกฎหมายที่มั่นคง และตอบสนองต่อเป้าหมายด้านความปลอดภัยของสถานศึกษาทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติจริง</p> sumat bunsud ลิขสิทธิ์ (c) 2025 sumat bunsud https://so14.tci-thaijo.org/index.php/PSPAJKU/article/view/1892 Fri, 26 Dec 2025 00:00:00 +0700