https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JSBR/issue/feed วารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ 2025-08-06T08:17:46+07:00 พระครูสถิตธรรมาลังการ, ดร. srisuvarna2567@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>ISSN:</strong> 2985-2838 (Print) </p> <p><strong>กำหนดออก :</strong> 3 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม– สิงหาคม) และฉบับที่ 3 (กันยายน - ธันวาคม) </p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ :</strong> วารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงทางด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญาศาสนา ภาษาบาลีสันสฤต การศึกษาเชิงประยุกต์ การพัฒนาชุมชม การพัฒนาสังคม รวมถึงสหวิทยาการอื่นๆ ของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นิสิตนักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบันการศึกษา</p> <p><strong>คำชี้แจงในการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ</strong></p> <p>1. บทความที่ส่งมารับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ จะต้องไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารหรือแหล่งวิชาการอื่นๆ</p> <p>2. ทุกบทความจะได้รับการตรวจสอบทางวิชาการจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) อย่างน้อย 3 ท่าน ในลักษณะปกปิดความลับของทั้งสองฝ่าย (Double blinded)</p> <p>3. ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ ทั้งนี้กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยและไม่มีข้อผูกพันด้วยประการใดๆ ทั้งปวง</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่: </strong></p> <p>วารสารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความละ 3,500 บาท โดยชำระค่าธรรมเนียมหลังจากบทความผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการวารสาร ก่อนที่จะดำเนินการส่งบทความถึงผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมิน ในกรณีที่บรรณาธิการปฏิเสธการตีพิมพ์หรือกรณีที่ผู้เขียนขอยกเลิกบทความเองจะคืนค่าตีพิมพ์ แต่หากมีการส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความแล้ววารสารจะไม่คืนค่าธรรมเนียม</p> https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JSBR/article/view/1728 รูปแบบการบริหารเพื่อพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร 2025-06-21T06:01:24+07:00 อัมรินทร์ เหนือร้อยเอ็ด Ammarinsts@gmail.com อัจฉรา วัฒนาณรงค์ achara.wh@up.ac.th โกศล มีคุณ kasol.me@up.ac.th ศักดิ์ชัย นิรัญทวี sakchai.ni@up.ac.th ธารินทร์ รสานนท์ tharin.ra@up.ac.th <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการบริหารสถานศึกษาในการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร โดยมุ่งเน้นให้ครูสามารถพัฒนาความรู้ ทักษะ และทัศนคติด้านดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของยุคดิจิทัล ซึ่งการบริหารสถานศึกษามีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางและนโยบาย ที่เอื้อต่อการพัฒนา ศักยภาพบุคลากรอย่างยั่งยืน แนวคิดพื้นฐานของการวิจัยประกอบด้วยหลักการบริหารสถานศึกษาการบริหารคุณภาพตามวงจร PDCA แนวคิดเกี่ยวกับบทบาทของครู และสมรรถนะดิจิทัลของครูใน 3 ด้าน ได้แก่ ความรู้ ทักษะ และทัศนคติ ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อสมรรถนะดิจิทัลของครู แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ปัจจัยด้านผู้บริหาร ได้แก่ ภาวะผู้นำดิจิทัลและการสนับสนุนของผู้บริหาร ปัจจัยด้านครู ได้แก่ แรงจูงใจ ทัศนคติ ความเชื่ออำนาจในตน การยอมรับการเปลี่ยนแปลง และการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ และปัจจัยด้านสถานศึกษา ได้แก่ บรรยากาศที่เอื้อต่อการใช้นวัตกรรมและความพร้อมของทรัพยากรดิจิทัลการบริหารจัดการที่บูรณาการองค์ประกอบและปัจจัยดังกล่าวอย่างมีระบบ จะสามารถยกระดับสมรรถนะ ดิจิทัลของครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การจัดการเรียนการสอนที่ตอบสนองต่อบริบทของผู้เรียน และขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาไทยให้ก้าวทันโลกดิจิทัลอย่างยั่งยืน</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JSBR/article/view/1329 การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลในการสนับสนุนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในจังหวัดสุพรรณบุรี 2025-06-17T21:00:42+07:00 ภัทรกุล ศิลปรัตน์ phatthasil@gmail.com พระครูธรรมธรสามารถ จตฺตมโล Samart.pho@mcu.ac.th <p> บทความวิจัยเรื่อง “การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในจังหวัดสุพรรณบุรี” ซึ่งมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษารูปแบบแพลตฟอร์มดิจิทัลในการสนับสนุนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในจังหวัดสุพรรณบุรี 2) เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลร่วมกันในการสนับสนุนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในจังหวัดสุพรรณบุรี และ 3) เพื่อประเมินผลของแพลตฟอร์มดิจิทัลในการสนับสนุนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในจังหวัดสุพรรณบุรี ด้วยกระบวนการวิจัยแบบผสานวิธีทั้งในเชิงเอกสาร (Documentary Research) และข้อมูลเชิงประจักษ์จากการสัมภาษณ์ การประชุมกลุ่มย่อย การปฏิบัติการแจกแบบสอบถามในพื้นที่ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mix Method) การจัดกระบวนการสนทนากลุ่ม (Focus Group) ร่วมกันเพื่อสร้างรูปแบบในการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลให้เหมาะสมกับความต้องการการใช้งานของบุคลากรทางการศึกษา โดยมุ่งเน้นสาระสำคัญด้านเนื้อหาที่กำหนดไว้ โดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ตามประเด็นหัวข้อ ผลจากการศึกษาพบว่ามหาวิทยาลัยในพื้นที่ศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตสุพรรณบุรี สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตสุพรรณบุรี วิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตสุพรรณบุรี มีการใช้แพลตฟอร์ม MOOC Speexx และ E-learning ในการศึกษารูปแบบแพลตฟอร์มดิจิทัลพบว่า Google Sites เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสม สำหรับการสร้างเว็บไซต์ในเชิงวิชาการ โดยมีจุดเด่นในเรื่อง ความสะดวกในการใช้งาน การเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้โดยพิจารณาใน 4 มิติหลัก ได้แก่ ประสิทธิภาพของแพลตฟอร์ม ความสะดวกในการใช้งาน ผลกระทบต่อการเรียนรู้ และข้อจำกัดและแนวทางพัฒนา</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JSBR/article/view/1722 พุทธศาสนานิกายมหายานกับการพัฒนาตนและสังคมให้พ้นจากภาวะความเหงา 2025-06-21T08:21:19+07:00 วัชระ เกษทองมา watchara.crmu@gmail.com <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้หลักคิดสำคัญของพระพุทธศาสนามหายานกับการพัฒนาตนและสังคมให้พ้นจากภาวะความเหงา (Loneliness) โดยได้เรียบเรียงเชิงพรรณนาในประเด็นและโวหาร (Descriptive writing) ตั้งแต่จุดเริ่มต้นนิกายของพระพุทธศาสนา หลักคิด การฝึกปฏิบัติตนตามแนวโพธิจิต และการนำหลักธรรมมหายานมาประยุกต์ให้เข้ากับการพัฒนาตนและสังคม เชื่อมโยงอธิบายประเด็นทางสุขภาพกับภาวะความเหงาของปัจเจกบุคคล พบว่า การแบ่งนิกายทางพุทธศาสนามีตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปรินิพานไม่นานและมีการสังคายานาเรื่อยมา หลักคิดพระพุทธศาสนามหายานมีความเชื่อโพธิจิตที่มีอยู่ในตนผ่านการอธิบาย คือ หลักตรียานและตรีกายที่สามารถพัฒนาตัวเองให้เกิดภาวะเป็นปกติดีได้ด้วยการเข้าใจตน เข้าใจการปฏิบัติภาวนาและเรียนรู้ความเป็นธรรมชาติของสังคมการเปลี่ยนแปลงตามกฎธรรมชาติ เมื่อเข้าใจตนอย่างถ่องแท้และการมีปฏิสัมพันธ์ในสังคมโดยมีแนวคิดของสงฆ์มหายานเป็นแบบอย่าง ทำให้เข้าใจสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมการใช้ชีวิตร่วมกันในบริบทที่แตกต่างได้ สะท้อนให้ภาวะความเหงาซึ่งมีหลายรูปแบบ อาทิ ความเหงาชีวิตประจำวัน ความเหงาในสถานการณ์และเหงาแบบเรื้อรังได้ลดลงพร้อมกับสามารถเข้าใจตนเอง สังคม อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข โดยบทความมีข้อเสนอแนะถึงการศึกษาถึงผลกระทบในกลุ่มที่จำกัดมาขึ้น ศึกษาเปรียบเทียบหลักธรรมของแต่ละนิกายและข้อจำกัดในบริบทที่แตกต่างในพื้นที่ตามความเหมาะสม</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JSBR/article/view/1788 ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2025-07-10T06:53:59+07:00 พิมลพรรณ เพชรสมบัติ master_tom22@yahoo.com ชัยณรงค์ สุวรรณสาร csuvarnasara@gmail.com <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษา ประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครู และ 3) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครู ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจำนวน 400 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของ Taro Yamane โดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นของภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา เท่ากับ .989 และประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครู เท่ากับ .988 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นอย่างง่าย</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครู ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการมีวิสัยทัศน์ ด้านความสามารถในการสร้างเครือข่าย และด้านความสามารถในการจัดการกับความเสี่ยงโดยทั้ง 3 ตัวแปรมีอำนาจพยากรณ์ประสิทธิผลการปฏิบัติงานของครู ได้ร้อยละ 70.10 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JSBR/article/view/1773 ผลตอบแทนทางสังคม SROI จากการจัดงานประกวดควายงาม ชิงถ้วยพระราชทาน 2025-07-06T05:24:55+07:00 นวรัตน์ บุญภิละ Navarat.bo@udru.ac.th ดนัย ศิริบุรี Danai.Si@udru.ac.th รชต สวนสวัสดิ์ rachata.acc@gmail.com วิวรรธน์ แก่นสา wiwata.ka@udru.ac.th ยุทธชัย โคสาดี yutthachai.ko@udru.ac.th <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลตอบแทนทางสังคม (Social Return on Investment: SROI) จากการจัดงานประกวดควายงามชิงถ้วยพระราชทาน จังหวัดอุดรธานี โดยใช้กรอบ SROI หกขั้นตอนของ Nicholls และคณะ รูปแบบที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบผสมผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บุคคลและกลุ่มที่มีบทบาทเกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดงานประกวดควายงาม จำนวน 30 คน (สัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตการณ์) ซึ่งได้สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) และบางส่วนใช้ การสุ่มแบบลูกโซ่ (Snowball Sampling) เพื่อเข้าถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญในเชิงบริบทนอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวน 436 คน โดยใช้การ สุ่มแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) และคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยสูตรของ Yamane ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามเชิงโครงสร้าง, แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง, การสนทนากลุ่มและการสังเกตการณ์ภาคสนาม ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลจากการวิจัยพบว่า งบลงทุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด 4,845,000 บาท สร้างผลประโยชน์รวม 10,628,000 บาท ครอบคลุมมิติ (1) เศรษฐกิจ: รายได้หมุนเวียน 9,585,000 บาทจากการซื้อ-ขายควาย การท่องเที่ยว และธุรกิจรายรอบ (2) สังคม: คุณค่าด้านทุนวัฒนธรรมและความภาคภูมิใจของชุมชน 469,000 บาท โดยนักท่องเที่ยว 83 % พึงพอใจมาก และ 36 % ระบุว่าได้เรียนรู้วิถีควายไทย และ (3) สิ่งแวดล้อม: มูลค่าการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานภูมิทัศน์เพื่อสวัสดิภาพสัตว์ 575,000 บาท ส่งผลให้อัตราส่วน SROI เท่ากับ 2.19 หมายความว่าเงินลงทุนทุก 1 บาทสร้างคุณค่ากลับคืน 2.19 บาท ผลลัพธ์นี้ แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมวัฒนธรรมท้องถิ่นสามารถเป็นกลไก Soft Power ที่สอดคล้องกับ SDG 11 ในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและอนุรักษ์วัฒนธรรมอัตลักษณ์ท้องถิ่น ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย คือ หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นควรบูรณาการกรอบ SROI เป็นเครื่องมือชี้วัดความคุ้มค่าก่อนอนุมัติงบประมาณกิจกรรมวัฒนธรรม และผู้จัดงานควรเพิ่มกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อขยายคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JSBR/article/view/1759 พฤติกรรมภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสตรีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2025-06-30T20:57:56+07:00 ณัฏฐนันท์ สุขจันทร์ nattanan_s@skn.ac.th สุธาสินี แสงมุกดา lovely386_3@hotmail.com <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการบริหารงาน 3) เพื่อศึกษาพฤติกรรมภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสตรีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา นนทบุรี จำนวน 18 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา 18 คน รองผู้อำนวยการสถานศึกษา 18 คนหัวหน้ากลุ่มสาระฯ 18 คน และครูผู้สอน 273 คน จำนวนทั้งสิ้น 327 คน โดยการใช้ตารางกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างของตารางเครซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดย ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (frequency) ค่าร้อยละ (percentage) ค่าเฉลี่ย (X) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบสมมติฐาน ใช้สถิติวิเคราะห์ การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. พฤติกรรมภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสตรีที่โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี พบว่าโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X= 4.51, S.D. = 0.10) โดย 2 ด้านอยู่ในระดับมากที่สุด และอีก 2 ด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านความซื่อสัตย์ ด้านความยุติธรรม ด้านความไว้วางใจ และด้านความเป็นผู้นำด้านคุณธรรม ตามลำดับ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 2.</span><span style="font-size: 0.875rem;">ประสิทธิภาพการบริหารงานโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี พบว่าโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก (X= 4.49, S.D. = 0.11) โดย 2 ด้านอยู่ในระดับมากที่สุด และอีก 3 ด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ ด้านการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ ด้านการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ด้านการพัฒนา ศักยภาพบุคลากร และด้านระบบการบริหารงานแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ ตามลำดั</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. พฤติกรรมภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสตรีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี มี 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความยุติธรรม ด้านความไว้วางใจ ด้านความซื่อสัตย์ และด้านความเป็นผู้นำด้านคุณธรรม ซึ่งตัวแปร ทั้ง 4 ด้าน ได้ร่วมกันทำนายประสิทธิภาพการบริหารงาน โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี ได้ร้อยละ 59.3 (R</span><sup>2 </sup><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.593) ซึ่งสามารถเขียนสมการพยากรณ์การถดถอยพหุคูณ ได้ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ Y’= .828 + .256 (X</span><sub>3</sub><span style="font-size: 0.875rem;">) + .331 (X</span><sub>4</sub><span style="font-size: 0.875rem;">)+ .202 (X</span><sub>2</sub><span style="font-size: 0.875rem;">) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน Z’ = 352 (X</span><sub>3</sub><span style="font-size: 0.875rem;">) + .389 (X</span><sub>4</sub><span style="font-size: 0.875rem;">)+ .256 (X</span><sub>2</sub><span style="font-size: 0.875rem;">)</span></p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JSBR/article/view/1539 การพัฒนาแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมของเครือข่ายการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมที่ส่งผลต่อคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านใฝ่เรียนรู้ของผู้เรียน 2025-06-17T20:51:15+07:00 อ่อนจันทร์ นุชบูรณ์ onjannuchaboon@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านใฝ่เรียนรู้ของผู้เรียน 2) ศึกษาสภาพการปฏิบัติในปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นเกี่ยวกับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของเครือข่ายการจัดการศึกษา 3) สร้างและพัฒนา แนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมของเครือข่ายการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมที่ส่งผลต่อคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านใฝ่เรียนรู้ของผู้เรียน และ 4) ศึกษาผลการใช้แนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมของเครือข่ายการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมที่ส่งผลต่อคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านใฝ่เรียนรู้ของผู้เรียน ใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการ (action research) เป็นแนวทางในการพัฒนาแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมของเครือข่ายการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมที่ส่งผลต่อคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านใฝ่เรียนรู้ของผู้เรียน กลุ่มที่ใช้ทดลอง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 โรงเรียนสองพี่น้องวิทยา ปีการศึกษา 2566 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ฉบับที่ 1 จำนวน 10 คน ฉบับที่ 2 จำนวน 6 คน ฉบับที่ 3 จำนวน 269 คน ฉบับที่ 5 จำนวน 6 คน ฉบับที่ 6 จำนวน 6 คน ฉบับที่ 7 จำนวน 9 คน ฉบับที่ 8 จำนวน 5 คน ฉบับที่ 9 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสังเกต การจัดกิจกรรมของครู แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติของนักเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจนำข้อมูลที่ได้มา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การหาค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) สาเหตุของปัญหา คือ ขาดแนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรม ขาดการมีส่วนร่วมของเครือข่าย และขาดการจัดกิจกรรมที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านใฝ่เรียนรู้ 2) สภาพการปฏิบัติการมีส่วนร่วมในปัจจุบันมีการปฏิบัติในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นเกี่ยวกับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของเครือข่ายการจัดการศึกษา มีความต้องการ จำเป็นในการปฏิบัติระดับมากที่สุด 3) ได้แนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมฯ จำนวน 4 เล่ม และ 4) พัฒนา ด้านผลผลิต ได้แก่ คุณภาพครูด้านพฤติกรรมการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านใฝ่เรียนรู้ของผู้เรียน อยู่ในระดับดี 3) ด้านผลลัพธ์ ได้แก่ คุณภาพผู้เรียนด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านใฝ่เรียนรู้ ผ่านเกณฑ์เป้าหมายที่สถานศึกษากำหนด คือ ผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านใฝ่เรียนรู้ในระดับดีเยี่ยม ร้อยละ 80 ของผู้เรียนทั้งหมด</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JSBR/article/view/1708 ศึกษาแนวทางการประยุกต์ใช้หลักเมตตาเพื่อลดปัญหาความรุนแรงต่อสตรี จังหวัดชัยภูมิ 2025-06-17T20:54:04+07:00 พระมหาวิทยา วิชฺชากโร (คลังบริบูรณ์) wittayaklangbosiboon@gmail.com พระศรีสัจญานมุนี poonsakkamol@gmail.com พูนศักดิ์ กมล poosak.kam@mcu.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) ศึกษาสภาพปัญหาความรุนแรงต่อสตรีที่ปรากฏในสังคมไทยและจังหวัดชัยภูมิ 2) ศึกษาหลักพุทธธรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อลดความรุนแรง 3) เพื่อประยุกต์ใช้หลักเมตตาเพื่อลดความรุนแรงต่อสตรีในจังหวัดชัยภูมิ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการจัดเก็บข้อมูล จากการสัมภาษณ์กลุ่มผู้มีความเกี่ยวข้องในอำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 20 คน ประกอบไปด้วยกลุ่มสตรี, พระสังฆาธิการ, เยาวชน, นักวิชาการกฎหมาย, นักพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ในจังหวัดชัยภูมิ โดยใช้วิธีการเจาะจงตามประเด็นที่ต้องการศึกษาวิจัย</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาความรุนแรงต่อสตรีที่ปรากฏในสังคมไทยและจังหวัดชัยภูมิ พบว่า แนวทางการประยุกต์ใช้หลักเมตตาเพื่อลดปัญหาความรุนแรงต่อสตรีในจังหวัดชัยภูมิ มีผลดีต่อการลดความรุนแรงต่อสตรี ด้วยการเสริมสร้างความเข้าใจในหลักเมตตาและการจัด การพัฒนาความ สัมพันธ์ในครอบครัว และการสร้างเครือข่ายสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ จะสามารถช่วยลดปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน 2. หลักพุทธธรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อลดความรุนแรง พบว่า หลักเมตตาธรรม ทางพระพุทธศาสนา เช่น เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ช่วยเสริมสร้างการมีสติและการมองเห็นผู้อื่นด้วยความรักและความเข้าใจ การส่งเสริมให้บุคคลในสังคมมีทัศนคติที่ดีต่อกัน และการฝึกฝนในการปรับอารมณ์และไม่ใช้ความรุนแรง เป็นหลักธรรมที่สามารถนำมาใช้เพื่อลดความรุนแรงและสร้างสังคมที่สงบสุข และ 3. ประยุกต์ใช้หลักเมตตาเพื่อลดความรุนแรงต่อสตรีในจังหวัดชัยภูมิ พบว่า การประยุกต์ใช้หลักเมตตา เพื่อเข้าใจความรู้สึกและสถานการณ์เฉพาะของสตรีและเด็ก ซึ่งอาจเผชิญกับความเปราะบางทั้งทางร่างกาย จิตใจ คุ้มครองจากความรุนแรง การละเมิด หรือการกดขี่ เช่น ความรุนแรงในครอบครัวหรือการใช้แรงงานเด็ก หลักเมตตาเมื่อนำมาใช้กับสตรีและเด็ก จะช่วยสร้างสังคมที่เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล และยั่งยืนมากขึ้น</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JSBR/article/view/1763 การบริหารจัดการการสร้างความรู้ในการจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลและ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน 2025-06-30T20:55:12+07:00 ปกประชา ช่างเงิน Pokprachaj2@gmail.com รัตน์ชนก พราหมณ์ศิริ Ratchanokp@plu.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาศึกษาการบริหารจัดการการสร้างความรู้ในการจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลและอำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน และเสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการการสร้างความรู้ในการจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลและอำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานจัดเก็บรายได้และประชาชนในพื้นที่ตำบลและ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน จำนวน 361 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ นายกอบต. ปลัดอบต. รองนายกอบต. พนักงานจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลและ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์ ซึ่งมีความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.85 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test ANOVA และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารจัดการการสร้างความรู้ในการจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหาร ส่วนตำบลและ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก (X= 3.83) โดยด้านการชำระภาษีมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมา คือ ด้านข้อมูลภาษี และด้านความรู้เกี่ยวกับภาษี ตามลำดับ 2) ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอายุ และระดับรายได้ แตกต่างกัน มีระดับความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการการสร้างความรู้ในการจัดเก็บรายได้ ด้านข้อมูลภาษี แตกต่างกัน ส่วนเพศ ระดับการศึกษา และประเภทผู้ตอบแบบสอบถาม ไม่แตกต่างกัน และ 3) แนวทางการบริหารจัดการการสร้างความรู้ในการจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลและ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ได้แก่ การสร้างและพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้ การรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ การแบ่งปันและเผยแพร่ความรู้การนำความรู้ไปปรับใช้ และการประเมินผลและปรับปรุงระบบการจัดเก็บรายได้</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JSBR/article/view/1760 ภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2025-06-30T21:00:34+07:00 สิริพร นาคเนียม siriporn.nak@student.mbu.ac.th สุธาสินี แสงมุกดา lovely386_3@hotmail.com <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2. ศึกษาองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี และ 3. ศึกษาภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมของผู้บริหาร ที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น แบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (frequency) ค่าร้อยละ (percentage) ค่าเฉลี่ย (X) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบสมมติฐานใช้สถิติวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ ความไว้วางใจ การเป็นพลเมืองดี ความถูกต้อง ยุติธรรม ความเคารพ นับถือ และความเป็นผู้นำคุณธรรม ตามลำดับ 2. องค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก พิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมากเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ แบบแผนทางการคิด การเรียนรู้เป็นทีม การคิดอย่างเป็นระบบ การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน และบุคคลที่รอบรู้ ตามลำดับ และ 3. ภาวะผู้นำเชิงคุณธรรมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี ได้แก่ ความไว้วางใจ การเป็นพลเมืองดี ความถูกต้อง ยุติธรรม ความเคารพ นับถือ และความเป็นผู้นำคุณธรรม ซึ่งตัวแปรทั้ง 5 ด้าน ได้ร่วมกันทำนายองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี ได้ร้อยละ 19.0 (R<sup>2</sup> = 0.190) และสามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์การถดถอยพหุคูณ ได้ดังนี้</p> <p> สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ</p> <p> Y’= 4.268+.067 (X<sub>4</sub>)</p> <p> สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน</p> <p> Z’ = .138 (X<sub>4</sub>)</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JSBR/article/view/1714 การบริหารจัดการศึกษาสงเคราะห์ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของคณะสงฆ์ในอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น 2025-06-17T21:09:18+07:00 พระครูสารปิยธรรม (สุริยา ปิยธมฺโม) Aa0847978562@gmail.com พระศรีสัจญานมุนี - poonsakkamol@gmail.com พูนศักดิ์ กมล poosak.kam@mcu.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) ศึกษาการบริหารจัดการศึกษาสงเคราะห์ของคณะสงฆ์ตามหลักสังคหวัตถุ 4 2) ศึกษาการบริหารจัดการศึกษาสงเคราะห์ของคณะสงฆ์ในอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น 3) การบริหารจัดการศึกษาสงเคราะห์ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของคณะสงฆ์ในอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการจัดเก็บข้อมูลในการรวมข้อมูล และจากการสัมภาษณ์กลุ่มพระสงฆ์ในอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น จำนวน 20 คน โดยมีผู้ปกครองเจ้าคณะจังหวัดเจ้าคณะอำเภอและเจ้าคณะตำบล จำนวน 10 รูป พร้อมผู้เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการศึกษาสงเคราะห์จำนวน 10 คน โดยใช้วิธีการเจาะจงตามประเด็นที่ต้องการศึกษาวิจัย</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า คณะสงฆ์ในอำเภอมัญจาคีรีได้ดำเนินการในด้านการศึกษาสงเคราะห์โดยการจัดตั้งศูนย์การศึกษาในวัด การให้ทุนการศึกษา, การฝึกทักษะวิชาชีพ และการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนและประชาชนในชุมชน, การบริหารจัดการศึกษาสงเคราะห์ของคณะสงฆ์ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ในอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น มีผลที่สำคัญต่อการพัฒนาเยาวชนและชุมชนในพื้นที่ ซึ่งสามารถสรุปผลได้ตามข้อประสงค์หลักของการศึกษาทั้ง 3 คณะสงฆ์ได้ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ได้แก่ ทาน (การให้), ปิยวาจา (คำพูดที่ไพเราะ), อัตถจริยา (การกระทำ ที่มีประโยชน์) และสมานัตตตา (การอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์) ในการพัฒนาการศึกษาในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ, การบริหารจัดการศึกษาสงเคราะห์ของคณะสงฆ์ในอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่นตามหลักสังคหวัตถุ 4 ได้ส่งผลให้เกิดการพัฒนาในหลายด้าน ทั้งในด้านการศึกษา คุณธรรม และการพัฒนาชุมชน การใช้หลักสังคหวัตถุ 4 เป็นแนวทางในการช่วยเหลือและพัฒนาการศึกษาอย่างครบวงจรทำให้เยาวชนได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีสุวรรณภูมิปริทรรศน์