วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JIRFLAS
<p><strong><img src="https://so14.tci-thaijo.org/public/site/images/editorialteam_npu/mceclip0.png" width="700" height="142" /></strong><br /><br /></p> <p> </p> <article class="text-token-text-primary w-full focus:outline-none scroll-mt-[calc(var(--header-height)+min(200px,max(70px,20svh)))]" dir="auto" tabindex="-1" data-turn-id="request-WEB:5610f336-c77a-49e6-ab83-ea2c7f1f6bdc-18" data-testid="conversation-turn-38" data-scroll-anchor="true" data-turn="assistant"> <div class="text-base my-auto mx-auto pb-10 [--thread-content-margin:--spacing(4)] @[37rem]:[--thread-content-margin:--spacing(6)] @[72rem]:[--thread-content-margin:--spacing(16)] px-(--thread-content-margin)"> <div class="[--thread-content-max-width:32rem] @[34rem]:[--thread-content-max-width:40rem] @[64rem]:[--thread-content-max-width:48rem] mx-auto max-w-(--thread-content-max-width) flex-1 group/turn-messages focus-visible:outline-hidden relative flex w-full min-w-0 flex-col agent-turn" tabindex="-1"> <div class="flex min-h-[46px] justify-start"> <p><strong>วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม (</strong><strong>Journal of Public Administration and Interdisciplinary Studies for Society; JPAIS)</strong> ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2568 เพื่อเป็นสื่อกลางในการนำเสนอผลงานวิชาการที่มีคุณภาพและผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างรอบคอบ วารสารมุ่งสร้างพื้นที่ทางวิชาการสำหรับนักวิจัย อาจารย์ และผู้สนใจทั่วไปในการเผยแพร่แนวคิด ข้อค้นพบ และข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคม</p> <p>เนื้อหาของวารสารครอบคลุมบทความวิจัยและบทความวิชาการที่เขียนเป็นภาษาไทย ที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ รัฐศาสตร์ การบริหารการศึกษา นิติศาสตร์ การจัดการชุมชน ตลอดจนสหวิทยาการทางสังคมศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลงานที่ตีพิมพ์ต้องมีคุณภาพทางวิชาการ มีหลักฐานเชิงประจักษ์ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง</p> <p>คณะบรรณาธิการให้ความสำคัญกับมาตรฐานวิชาการ ความถูกต้องของข้อมูล และความน่าเชื่อถือของผลงาน เพื่อให้วารสารเป็นแหล่งอ้างอิงที่สำคัญสำหรับการศึกษา ค้นคว้า และพัฒนาความรู้ในสังคมศาสตร์อย่างรอบด้าน<br /><br /></p> <p><strong>ข้อมูลวารสาร</strong></p> <p>ชื่อเต็ม: วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม<br />ชื่อย่อ: JPAIS<br />ISSN: 3088-2265 (Online)<br />เริ่มตีพิมพ์: พ.ศ. 2568<br />ภาษาที่เปิดรับ: ภาษาไทย<br /><br /></p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาและข้อกำหนดการส่งบทความเพื่อตีพิมพ์</strong></p> <p>บทความแต่ละบทความจะได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อ หรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Double-blind Peer Review) เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้นิพนธ์ต้องลงลายมือชื่อในแบบฟอร์มใบมอบลิขสิทธิ์บทความให้แก่วารสารฯ พร้อมกับบทความต้นฉบับที่ได้แก้ไขครั้งสุดท้าย นอกจากนี้ ผู้นิพนธ์ต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์นั้น ได้ส่งมาตีพิมพ์เฉพาะในวารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม Journal of Public Administration and Interdisciplinary Studies for Society เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากมีการใช้ภาพหรือตารางของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อบรรณาธิการก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์</p> </div> </div> </div> </article>
หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยนครพนม
th-TH
วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม
3088-2265
<p>1. เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงพิมพ์กับวารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม (Journal of Public Administration and Interdisciplinary Studies for Society) ถือเป็นข้อคิดเห็น และความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</p> <p>2. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม (Journal of Public Administration and Interdisciplinary Studies for Society) ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม (Journal of Public Administration and Interdisciplinary Studies for Society) หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อการกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม (Journal of Public Administration and Interdisciplinary Studies for Society) ก่อนเท่านั้น</p>
-
แบ่งซื้อแบ่งจ้าง : ปัญหาการตีความสู่การรับผิด
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JIRFLAS/article/view/2016
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัญหาการตีความเรื่องแบ่งซื้อแบ่งจ้างที่นำไปสู่ความผิด พบว่า พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 และระเบียบอื่น ๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุในการสร้างความโปร่งใส ป้องกันทุจริต ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณรัฐ สร้างกลไกควบคุมและตรวจสอบการใช้จ่ายพัสดุ และทำให้การบริหารพัสดุมีมาตรฐานเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติผู้บริหาร หัวหน้าเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ และผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการคณะต่าง ๆ ในหลายหน่วยงานยังปฏิบัติไม่ถูกต้องเนื่องจากมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่ดำเนินการตามขั้นตอน หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และแนวทางวิธีปฏิบัติในการจัดซื้อจัดจ้างแต่ละวิธี หรือปฏิบัติหน้าที่ไปโดยไม่ระมัดระวัง ไม่ศึกษาหาความรู้เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และรวมถึงการมีเจตนาทุจริตด้วย สำหรับการแบ่งซื้อแบ่งจ้างจัดเป็นความเสี่ยงการทุจริตที่อยู่ในขั้นตอนก่อนดำเนินการ และถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาไม่ให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมและเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนรายใดรายหนึ่ง ซึ่งการตีความเรื่องการแบ่งซื้อแบ่งจ้างควรตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยอาศัยข้อเท็จจริงแต่ละรายกรณี คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ และแนวคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ดังเช่นกรณีของการจัดซื้อ ATK ของชมรมแพทย์ชนบทในปี พ.ศ.2564 แต่เนื่องจากการลงโทษผู้กระทำผิดในกรณีนี้มีการกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพ ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลตามกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง และกฎหมายอื่นจึงเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขในการที่จะดำเนินการซักซ้อมทำความเข้าใจใน นิยาม ขั้นตอนวิธีการปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่รัฐ สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล และป้องกันความรับผิดที่จะเกิดจากการปฏิบัติราชการ</p>
จิรัชญา กลีบสุวรรณ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-03
2025-11-03
1 2
e2016
e2016
-
สิทธิชุมชนในการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรรอบบึงกระจังงาม ตำบลศาลาแดง อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JIRFLAS/article/view/1860
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสิทธิชุมชนในการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรรอบบึงกระจังงาม ตำบลศาลาแดง อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ 2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของหลักสาราณียธรรมกับสิทธิชุมชนในการจัดการน้ำ และ 3) เสนอแนวทางในการบริหารจัดการสิทธิของชุมชนในการบริหารจัดการน้ำตามหลักสาราณียธรรม เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณโดยแจกแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.978 กับผู้ใช้น้ำรอบบึงกระจังงามโดยใช้สูตรทาโร ยามาเนได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 319 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญโดยเลือกแบบเจาะจงจำนวน 21 รูป/คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์และวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา พบว่า ระดับสิทธิชุมชนในการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรรอบบึงกระจังตามหลักสาราณียธรรม โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.05, S.D. = 0.69) และระดับสิทธิชุมชนในการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรรอบบึงกระจังตามตามแนวทางบริหารจัดการทรัพยากรร่วมของ Elinor Ostrom โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.01, S.D. = 0.57) ขณะที่ความสัมพันธ์ของหลักสาราณียธรรม กับสิทธิชุมชนในการจัดการน้ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.01โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ในทางบวกหรือความสัมพันธ์กันในลักษณะที่คล้อยตามกันเป็นคู่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง (r=0.617**) และแนวทางในการบริหารจัดการสิทธิของชุมชนในการบริหารจัดการน้ำตามหลักสาราณียธรรม 6 พบว่า 1) การบริหารจัดการน้ำที่ดีเกิดจากการที่สมาชิกทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเท่าเทียมบนหลักของเหตุและผล 2) มีการกล่าวขอบคุณหรือชมเชยเมื่อได้รับการแก้ไขปัญหาในการบริหารจัดการน้ำ หรือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ใช้น้ำ 3) สมาชิกผู้ใช้น้ำได้ตระหนักถึงกฎระเบียบความสำคัญในการบริหารจัดการน้ำ</p>
พระพรหมพัฒน จนฺทโชโต (ไทเดโชธนเศรษฐ์)
สยาม ดำปรีดา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-31
2025-10-31
1 2
e1860
e1860
-
สิทธิในการจัดสรรผลประโยชน์เรื่องน้ำเพื่อการเกษตร ในตำบลมหาโพธิ อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักทิฏฐธัมมิกัตถะประโยชน์
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JIRFLAS/article/view/1890
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสิทธิในการจัดสรรผลประโยชน์เรื่องน้ำเพื่อการเกษตรในเขตตำบลมหาโพธิ อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักทิฏฐธัมมิกัตถะประโยชน์ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ของหลักทิฏฐธัมมิกัตถะประโยชน์กับสิทธิในการจัดสรรผลประโยชน์เรื่องน้ำเพื่อการเกษตร และ 3) เสนอแนวทางในการส่งเสริมการใช้สิทธิในการจัดสรรผลประโยชน์เรื่องน้ำเพื่อการเกษตร ใช้แบบการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจากผู้ใช้น้ำในบึงหลวง จำนวน 157 คน คำนวณจากสูตรของทาโร ยามาเน ใช้แบบสอบถามที่ค่าความเชื่อมั่น 0.974 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยทำการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 16 รูป/คน ใช้เทคนิควิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับสิทธิในการจัดสรรผลประโยชน์เรื่องน้ำเพื่อการเกษตรในเขตตำบลมหาโพธิ อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักทิฏฐธัมมิกัตถะประโยชน์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.13, S.D. = 0.55 และระดับสิทธิในการจัดสรรทรัพยากรตามแนวทางบริหารจัดการทรัพยากรร่วม ตามกติกาของ Elinor Ostrom โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.90, S.D. = 0.55 2) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง หลักทิฏฐธัมมิกัตถะประโยชน์ กับ สิทธิในการจัดสรรผลประโยชน์เรื่องน้ำเพื่อการเกษตร โดยภาพรวม มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ (0.01) โดยมีความสัมพันธ์ในทางบวกหรือความสัมพันธ์กันในลักษณะที่คล้อยตามกันเป็นคู่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก (r=0.888) และ 3) แนวทางในการส่งเสริมการใช้สิทธิในการจัดสรรผลประโยชน์เรื่องน้ำเพื่อการเกษตร พบว่า 3.1) สมาชิกต้องเข้าใจกฎ กติกา และแนวทางปฏิบัติร่วมกัน 3.2) เมื่อเกิดปัญหา ควรประชุมและเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น 3.3) การมีประธานและโครงสร้างกลุ่มช่วยจัดการปัญหาและสร้างความเท่าเทียม 3.4) หน่วยงานรัฐควรสนับสนุนการเข้าถึงน้ำของเกษตรกรอย่างเต็มที่ และ 3.5) เกษตรกรต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของรัฐเพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพ</p>
ประทีป ยิ้มแพร
อัครเดช พรหมกัลป์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-31
2025-10-31
1 2
e1890
e1890
-
พลังชุมชน: กระบวนการสร้างการรับรู้และกำหนดเป้าหมายร่วมเพื่อพัฒนากลไกสร้างคุณค่าในตนเองของผู้สูงวัยในชุมชนพหุวัฒนธรรม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JIRFLAS/article/view/2014
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการสร้างการรับรู้และกำหนดเป้าหมายร่วม เพื่อพัฒนากลไกสร้างคุณค่าในตนเองของผู้สูงวัยในชุมชนพหุวัฒนธรรม โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ซึ่งมุ่งให้ผู้สูงอายุ ผู้นำชุมชน และภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน ประชากร คือ ผู้สูงอายุอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 1,213 คน ในตำบลหนองนมวัว อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 45 คน ประกอบด้วยผู้สูงอายุ แกนนำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข พระสงฆ์ และตัวแทนภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ผู้นำชุมชน ผู้แทนองค์การบริหารส่วนตำบล พระครูและคณะสงฆ์ เยาวชน และผู้แทนภาคประชาสังคม เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกด้านทุนทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบบันทึกภาคสนาม 2) แบบวิเคราะห์ SWOT Analysis 3) แบบบันทึก Key Messages และ 4) แบบบันทึกเวทีสะท้อนผลความคิดเห็นของชุมชน การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล เก็บข้อมูลผ่านกระบวนการสี่ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน การขับเคลื่อน การสังเกตการณ์ และการสะท้อนผล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา และตรวจสอบความถูกต้องด้วยวิธีสามเส้า ผลการวิจัย พบว่า ขั้นการวางแผน พบว่าการลงพื้นที่พบปะผู้นำและผู้สูงอายุจาก 9 หมู่บ้าน ช่วยสร้างความเข้าใจร่วมและกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ทุกฝ่ายยอมรับ ขั้นการขับเคลื่อน พบว่า การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และวิเคราะห์สภาพพื้นที่ร่วมกัน ทำให้เกิดข้อตกลงพัฒนาร่วมระดับตำบลในรูปของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างคุณค่าตนเองของผู้สูงวัย ขั้นการสังเกตการณ์ พบว่า ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง เกิดความภาคภูมิใจและตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง และขั้นการสะท้อนผล พบว่า ผู้สูงอายุและภาคีเครือข่ายรู้สึกเป็นเจ้าของกิจกรรม เกิดแนวทางพัฒนาต่อเนื่อง และสร้างพลังร่วมในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยในชุมชนพหุวัฒนธรรม กระบวนการวิจัยนี้สามารถขับเคลื่อนการสร้างการรับรู้และเป้าหมายร่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม ผู้สูงอายุเกิดความตระหนักรู้ เห็นคุณค่าในตนเอง และร่วมกันพัฒนากลไกทางสังคมที่ยั่งยืนโดยมีความร่วมมือของบ้าน วัด โรงเรียน และภาครัฐเป็นฐานสำคัญ</p>
รัตติยา เหนืออำนาจ
อัครเดช พรหมกัลป์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-31
2025-10-31
1 2
e2014
e2014
-
บทบาทของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลในการพัฒนาท้องถิ่น กรณีศึกษา : อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JIRFLAS/article/view/2168
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความคิดเห็นของบุคลากรที่มีต่อบทบาทของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลในการพัฒนาท้องถิ่น อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด และ 2) เสนอแนะแนวทางในการพัฒนาบทบาทของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลในการพัฒนาท้องถิ่น อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 150 คน โดยใช้สูตรคำนวณของทาโรยามาเน่ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติในหารหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ความคิดเห็นของบุคลากรที่มีต่อบทบาทของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลในการพัฒนาท้องถิ่น อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ทั้งสิ้น 6 ด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.07) โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.26) ด้านส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิต (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.21) ด้านเศรษฐกิจชุมชน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.07) ด้านการศึกษา วัฒนธรรมประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.02) ด้านรักษาความสงบเรียบร้อย และป้องกันบรรเทาสาธารณภัย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.92) และด้านทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.87) และ 2) ข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาบทบาทของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลในการพัฒนาท้องถิ่น อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด บุคลากรมีข้อเสนอแนะที่สำคัญคือ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลต้องมีองค์ความรู้เกี่ยวกับระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาท้องถิ่น พร้อมทั้งต้องบริหารงานด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบการปฏิบัติงานได้ รวมถึงต้องมีความรู้และทักษะในการกำกับ ดูแล ควบคุมและตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานให้เป็นไปตามระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการ พร้อมทั้งส่งเสริมสนับสนุนในการสร้างนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นในการตอบสนองความต้องการในด้านการพัฒนาท้องถิ่นโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นสำคัญ</p>
กฤตาภรณ์ ทะราษี
ภานุวัฒน์ กิตติกรวรานนท์ รัตนพิมลพลแสน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และสหวิทยาเพื่อสังคม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-31
2025-10-31
1 2
e2168
e2168