วารสารครุพัฒนาปริทรรศน์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JEDRS <p><strong>วารสารครุพัฒนาปริทรรศน์</strong> เพื่อส่งเสริม สนับสนุน เผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยด้านครุศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับชุมชน ในการสนับสนุนบุคคลที่ทำคุณงามความดีกับสังคม ส่งเสริมงานด้านวิชาการของนักวิชาการ นิสิต นักศึกษาและผู้ที่สนใจทั่วไปในการนำเสนองานวิชาการและผลงานวิจัยเผยแพร่สู่สังคมและเพื่อให้บริการวิชาการเกี่ยวกับการเสนอทางออกในการแก้ปัญหาสังคม</p> <p>ISSN: 3088-1463 (Online)<br />กำหนดการเผยแพร่ :ปีละ 4 ฉบับ </p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม–มีนาคม </p> <p>ฉบับที่ 2 เมษายน–มิถุนายน </p> <p>ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน </p> <p>ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม</p> <p> บทความที่ได้รับการพิจารณาให้ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) 3 ท่าน ในรูปแบบพิชยพิจารณ์ (Peer-Reviewed) ก่อนลงตีพิมพ์ และเป็นการประเมินแบบการปกปิดสองทาง (Double blinded) พิจารณาตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p> ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความวารสารครุพัฒนาปริทรรศน์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะของกองบรรณาธิการ วารสารครุพัฒนาปริทรรศน์ไม่สงวนลิขสิทธิ์การคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา</p> Association of Area-based Academics and Researchers of Local Development th-TH วารสารครุพัฒนาปริทรรศน์ 3088-1463 บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร ปัจจัยที่มีผลต่อความสุขในชีวิตของผู้สูงอายุในตำบลขุมเงิน อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JEDRS/article/view/1948 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสุขในชีวิตของผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน 2) ศึกษาอำนาจการทำนายของเพศ อายุ รายได้ ความสามารถในการดูแลตนเอง แรงสนับสนุนทางสังคม และพัฒนกิจครอบครัวระยะวัยชรากับความสุขในชีวิต และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรดังกล่าวกับความสุขในชีวิตของผู้สูงอายุในตำบลขุมเงิน อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน จำนวน 172 คน ที่ได้จากการสุ่มด้วยสูตรทาโรยามาเน่ เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันและถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุมีความสุขในชีวิตโดยรวมอยู่ในระดับมาก ความสามารถในการดูแลตนเองอยู่ในระดับมาก แรงสนับสนุนทางสังคมอยู่ในระดับปานกลาง และพัฒนกิจครอบครัวระยะวัยชราอยู่ในระดับมาก อายุมีความสัมพันธ์ทางลบกับความสุข ขณะที่รายได้ ความสามารถในการดูแลตนเอง แรงสนับสนุนทางสังคม และพัฒนกิจครอบครัวระยะวัยชรามีความสัมพันธ์ทางบวก โดยความสามารถในการดูแลตนเอง แรงสนับสนุนทางสังคม และพัฒนกิจครอบครัวระยะวัยชราสามารถร่วมกันทำนายความสุขในชีวิตได้ร้อยละ 57.60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สมการทำนายที่เหมาะสมที่สุดคือ ความสุขในชีวิต = 0.811 + 0.314 (พัฒนกิจครอบครัวระยะวัยชรา) + 0.300 (ความสามารถในการดูแลตนเอง) + 0.148 (แรงสนับสนุนทางสังคม)</p> ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี พิกุล มีมานะ สยามพร พันธไชย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุพัฒนาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ 2025-10-01 2025-10-01 2 3 44 59 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา เรื่อง การบวกและการลบทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JEDRS/article/view/2026 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา เรื่อง การบวกและการลบทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2) เปรียบเทียบทักษะการคำนวณก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กระบวนการแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา เรื่อง การบวกและการลบทศนิยม และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กระบวนการแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา เรื่อง การบวกและการลบทศนิยมผลการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า ทักษะการคำนวณ เรื่อง การบวกและการลบทศนิยม หลังได้รับการเรียนรู้สูงกว่าก่อนได้รับการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนเท่ากับ 16.46 คิดเป็นร้อยละ 82.30 และค่าเฉลี่ยคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 7.75 คิดเป็นร้อยละ 38.75 และนักเรียนที่ได้รับการเรียนรู้ด้วยกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.74 ดังนั้น การใช้การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา ทำให้ความสามารถในการคำนวณของนักเรียนดีขึ้น</p> <p> </p> อนุวัชช์ สอนสนาม ขวัญจิรา ราชมุลตรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุพัฒนาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ 2025-10-01 2025-10-01 2 3 60 71 ปฏิจจสมุปบาทกับโทมนัส อุปายาส https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JEDRS/article/view/1949 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 3 คือ 1) เพื่อศึกษาหลักคำสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาทในโทมนัส และ 2) เพื่อศึกษาปฏิจจสมุปบาทในอุปายาส บทความนี้เป็นการศึกษาค้นคว้าเชิงเอกสาร ผลการศึกษาพบว่า ปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นว่า ธรรมทั้งหลายอาศัยกันและกันเกิดขึ้นร่วมกันโดยต่างฝ่ายต่างเป็นปัจจัยของกันและกัน สิ่งทั้งหลายอาศัยกัน ๆ จึงเกิดมีขึ้น หรือการที่ทุกขเกิดขึ้นเพราะอาศัยปจจัยสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันมา ปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในรูปของกฎธรรมชาติ หลักความจริงที่มีอยู่โดยธรรมดา ไม่เกี่ยวกับการอุบัติของพระศาสดาทั้งหลาย ปฏิจจสมุปบาทมีความสัมพันธ์กับโทมนัส เป็นหนึ่งในทุกข์ที่ระบุไว้ใน <a href="http://www.uttayarndham.org/node/989">ทุกขอริยสัจ</a> โทมนัส คือ ความทุกข์ทางจิต ความไม่สำราญทางจิต ความเสวยอารมณ์อันไม่ดีที่เป็นทุกข์ ซึ่งเกิดแต่มโนสัมผัส และอุปายาส ความแค้น ความคับแค้น ภาวะของบุคคลผู้แค้น ภาวะของบุคคลผู้คับแค้น ของบุคคลผู้ประกอบด้วยความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว</p> พิมพ์ชนก เกตุหอม ธีรทัศน์ ปิติภาคย์พงษ์ วริศรา บุญทอง วริศรา บุญทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุพัฒนาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ 2025-10-01 2025-10-01 2 3 1 13 รายงานการบริหารจัดการความขัดแย้งการบริหารงานบุคคลในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาวัดกลาง อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JEDRS/article/view/2108 <p>การบริหารจัดการความขัดแย้งในการบริหารงานบุคคลในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาวัดกลาง จังหวัดกาฬสินธุ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และวิธีการจัดการความขัดแย้ง พร้อมทั้งประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อให้การบริหารงานบรรลุเป้าหมาย ความขัดแย้งถือเป็นปรากฏการณ์ปกติของทุกองค์กร ซึ่งมีทั้งคุณและโทษ ขึ้นอยู่กับวิธีการจัดการ ทฤษฎีสมัยเดิมมองว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งเลวร้ายที่ควรหลีกเลี่ยง ขณะที่แนวคิดสมัยใหม่เห็นว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และสามารถก่อให้เกิดประโยชน์หากมีการบริหารจัดการที่เหมาะสม ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ได้แก่ ความแตกต่างระหว่างบุคคล การสื่อสารที่ผิดพลาด ค่านิยมและความเชื่อที่ไม่ตรงกัน ตลอดจนโครงสร้างองค์กร รายงานนี้ให้ความสำคัญกับการบูรณาการทฤษฎีการจัดการสมัยใหม่ควบคู่กับหลักธรรม “อคติ 4” ได้แก่ ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ และภยาคติ เพื่อให้การตัดสินใจของผู้บริหารเป็นไปด้วยความยุติธรรม โปร่งใส และอิงหลักฐานที่ถูกต้อง ไม่ใช่อคติส่วนบุคคล ขณะเดียวกันได้วิเคราะห์วิธีการจัดการความขัดแย้งหลายรูปแบบ เช่น การแข่งขัน การร่วมมือ การหลีกเลี่ยง การโอนอ่อน และการประนีประนอม โดยสรุปว่าการร่วมมือ (Integrating/Collaborating) และการประนีประนอม (Compromising) เหมาะสมที่สุดต่อการบริหารงานบุคคลในโรงเรียนพระปริยัติธรรม สรุปผลการศึกษาพบว่า การบริหารจัดการความขัดแย้งในโรงเรียนพระปริยัติธรรมจำเป็นต้องผสมผสานหลักการทางพระพุทธศาสนากับทฤษฎีการจัดการสมัยใหม่ เพื่อสร้างกลไกที่ทั้งมีประสิทธิภาพและมีคุณธรรม โดยเฉพาะการใช้กระบวนการความขัดแย้ง 5 ขั้นตอนของ Pondy ที่ช่วยให้ผู้บริหารคาดการณ์ ป้องกัน และแก้ไขปัญหาได้เป็นระบบ ส่งผลให้บรรยากาศการทำงานราบรื่น บุคลากรมีแรงจูงใจ และโรงเรียนสามารถบรรลุเป้าหมายทั้งด้านโลกียะและธรรมะได้อย่างยั่งยืน</p> <p><strong> </strong></p> กชภัทร์ สงวนเครือ พระมหาฉัตรเพชร สมาจาโร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุพัฒนาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ 2025-10-01 2025-10-01 2 3 14 32 Conserving and Promoting the Value of Cultural Heritages, serving the Development of Local Tourism Experiences from the Bat Trang Village Community https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JEDRS/article/view/2115 <p>In Vietnam today, communities have made many remarkable contributions to the process of socializing cultural heritage conservation activities. In fact, communities in many localities and regions have demonstrated their positive role in cultural heritages with very specific and practical activities. Along with the local community, cultural heritage is nurtured and preserved in a dynamic state, not isolated but closely connected to daily life. In addition, cultural heritage is also recognized by society through the information channels of local people, with the genuine feelings of insiders. The article aims to affirm and introduce experiences in preserving and promoting the value of cultural heritage, serving the development of local tourism, through the case of Bat Trang village community (Bat Trang commune, Gia Lam administrative unit, Hanoi city).</p> <p> </p> Hang Pham Thu Dung Ly Thi Ngoc ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุพัฒนาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ 2025-10-01 2025-10-01 2 3 33 43