วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary <p> กำหนดออกวารสารปีละ 6 ฉบับ เป็นราย 2 เดือน</p> <p> ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - กุมภาพันธ์ (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 28 กุมภาพันธ์)<br /> ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม - เมษายน (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 30 เมษายน)<br /> ฉบับที่ 3 เดือน พฤษภาคม - มิถุนายน (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 30 มิถุนายน)<br /> ฉบับที่ 4 เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 31 สิงหาคม)<br /> ฉบับที่ 5 เดือนกันยายน – ตุลาคม (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 31 ตุลาคม)<br /> ฉบับที่ 6 เดือน พฤศจิกายน – ธันวาคม (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 31 ธันวาคม)</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : <br /></strong><span style="font-weight: 400;"> วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านการศึกษา โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</span></p> วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม th-TH วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม การพัฒนาทักษะการคิดพื้นฐาน โดยการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเกมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 1 https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1554 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลการพัฒนาทักษะการคิดพื้นฐาน โดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเกมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน 2) ศึกษาความพึงพอใจต่อการพัฒนาทักษะการคิดพื้นฐาน โดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเกมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 1 โดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษาเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมพัฒนาการด้านการคิด การวิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 1 จำนวน 18 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จากโรงเรียนวัดท่ายาง ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมเกมการศึกษา จำนวน 8 แผน แบบประเมินทักษะการคิดพื้นฐาน และแบบบันทึกพฤติกรรม เครื่องมือทั้งหมดผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ และมีค่าความเชื่อมั่นในระดับที่เหมาะสม สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า หลังจากดำเนินกิจกรรมเกมการศึกษา เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการด้านทักษะการคิดพื้นฐานดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในด้านการเปรียบเทียบ การจัดกลุ่ม การจำแนก และการแก้ปัญหา จากคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการทดลอง พบว่าคะแนนหลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 1.)ทักษะการคิดพื้นฐาน โดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเกมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 2.) ความพึงพอใจต่อการพัฒนาทักษะการคิดพื้นฐาน โดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเกมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> กรรณิกา หาญจิตร์ จันทร์ ติยะวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 63 74 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ด้านการจำคำศัพท์ภาษาจีนด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ Team – Game –Tournament (TGT) ร่วมกับ Blooket ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 5 https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1568 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการจำคำศัพท์ภาษาจีนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ Team – Game – Tournament (TGT) ร่วมกับ Blooket 2) ศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการใช้แผนจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาจีนด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ Team – Game – Tournament (TGT) ร่วมกับ Blooket กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/6 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 28 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Ramdom Sampling) จากประชากรที่เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/6 – 8 ปีการศึกษา 2567จำนวน 90 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการจำคำศัพท์ภาษาจีนด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบ Team-Game-Tournament TGT ร่วมกับ Blooket มีค่าเฉลี่ยการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญเป็น 4.59 S.D. 0.78 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีค่า IOC ตั้งแต่ 0.67-1.00 มีค่าความยากง่าย (p) ตั้งแต่ 0.34-0.68 ค่าอำนาจจำแนก( r) ตั้งแต่ 0.27-0.56 และค่าความเชื่อมั่น 0.76 และแบบประเมินความพึงพอใจมีค่าความเชื่อมั่น 0.71 สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าสถิติที (t-test) </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้มีค่า = 3.86, S.D. = 0.90 ซึ่งอยู่ในระดับมาก</li> </ol> ธัญยมัย ชุมนาคราช จันทร์ ติยะวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 120 129 ทักษะการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับชุดกิจกรรมการแต่งกายสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1555 <p> การศึกษาค้นคว้าอิสระฉบับนี้วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทักษะการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่ได้รับการฝึกโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับชุดกิจกรรมการแต่งกาย 2) เปรียบเทียบทักษะในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาก่อนและหลังได้รับการฝึกโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับชุดกิจกรรมการแต่งกาย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่มีปัญหาในด้านทักษะการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นเตรียมความพร้อมของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช หน่วยบริการทุ่งใหญ่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดกิจกรรมการแต่งกาย 5 กิจกรรม และแบบประเมินความสามารถด้านการแต่งกาย เครื่องมือทั้งหมดผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ และมีค่าความเชื่อมั่นในระดับที่เหมาะสม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ก่อนการฝึกการแต่งการโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับชุดกิจกรรมการแต่งกาย เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามีความสามารถในการแต่งกายโดยรวมอยู่ในระดับต้องปรับปรุง และพบว่าเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาทุกคนมีความสามารถในการแต่งกายอยู่ในระดับดีมากหลังการใช้ชุดกิจกรรมการการแต่งกาย 2) หลังการใช้รูปแบบการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับชุดกิจกรรมการแต่งกายทำให้เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามีความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายโดยรวมสูงกว่าก่อนการใช้ชุดกิจกรรมการ แต่งกายอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อรสา บุญมา จันทร์ ติยะวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 75 83 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หน้าที่ส่วนต่างๆ ของพืชดอก โดยการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1569 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หน้าที่ส่วนต่าง ๆ ของพืชดอก รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียนและหลังเรียน 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ต่อการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง หน้าที่ส่วนต่าง ๆ ของพืชดอก รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านบุอังโนง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 12 คน โดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หน้าที่ส่วนต่างๆ ของพืชดอก 3) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <strong>.</strong>05</li> <li>2<strong>. </strong>ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ต่อการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง หน้าที่ส่วนต่างๆ ของพืชดอก รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> ศุภลักษณ์ พรหมชาติ จันทร์ ติยะวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 130 139 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1548 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนกับเกณฑ์ ร้อยละ 70 ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านลำดวน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 23 คน โดยได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 แผน ซึ่งผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญโดยมีค่าเฉลี่ยความเหมาะสมเท่ากับ 4.73 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งผ่านการตรวจสอบค่าความเที่ยงตรง อยู่ในช่วงระหว่าง 0.67 ถึง 1.00 มีค่าความยากง่าย มีค่าอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่าจำแนก มีค่าอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 และมีค่าความเชื่อมั่น (KR-20) เท่ากับ 0.80 สำหรับแบบสอบถามความพึงพอใจ ค่าดัชนีความสอดคล้อง มีค่าอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.73 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที</p> <p> ผลวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสิติที่ระดับ .05</li> <li>ความพึงพอใจต่อการเรียน เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> อรนลิน บุญรอด จันทร์ ติยะวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 85 91 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจ เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ สีคู่ตรงข้าม ด้วยการจัดการเรียนรู้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creative-based Learning) https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1562 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ สีคู่ตรงข้าม 2) ศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนภูเก็ตไทยหัวอาเซียนวิทยาที่มีต่อการใช้แผนการเรียนรู้เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ สีคู่ตรงข้าม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนโรงเรียนภูเก็ตไทยหัวอาเซียนวิทยา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/5 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 20 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Ramdom Sample)จากประชากรที่เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6/3-6/6 จำนวน 85 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ สีคู่ตรงข้าม มีค่าเฉลี่ยจากผู้เชี่ยวชาญ แบบทดสอบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีค่า IOC ตั้งแต่ 0.67-1.00 มีค่าความยากง่าย (p) ตั้งแต่ (0.2 - 1.00) ค่าอำนาจจำแนก (r) ตั้งแต่ (0.8 – 0.9) และค่าความเชื่อมั่น &lt;0.70 และแบบสอบถามระดับความพึงพอใจ สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าสถิติที (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 2) ความพึงพอใจต่อการเรียนเรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ สีคู่ตรงข้าม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเฉลี่ย, S.D. อยู่ในระดับมาก</p> คณิตา ศรีอ่อน จันทร์ ติยะวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 92 100 จิตสาธารณะในมุมมองอิสลาม https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1235 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>บทความนี้เป็นการศึกษาเชิงเอกสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทฤษฎีนิยามเกี่ยวกับจิตสาธารณะ 2) ศึกษาวิเคราะห์การประยุกต์ใช้จิตสาธารณะตามหลักการอิสลาม โดยใช้รูปแบบการวิจัยคุณภาพ (Qualitative Research) ข้อมูลได้จากเอกสารเป็นหลักคือ ข้อมูลปฐมภูมิจากอัลกุรอาน อัสสุนนะฮฺ และจากหนังสือ สิ่งพิมพ์ อินเทอร์เน็ต บทความวิชาการ เอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาวิเคราะห์พบว่า</p> <p>1.จิตสาธารณะถือเป็นความตระหนักที่สำคัญของมุสลิมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ทำให้เกิดความรู้สึกปรารถนาที่จะช่วยเหลือสังคมต้องการเข้าไปแก้วิกฤตการณ์โดยรับรู้ถึงสิทธิควบคู่ไปกับหน้าที่และความรับผิดชอบสำนึกตามหลักคำสอนทางศาสนา ดังนั้นแนวทางในการประยุกต์ใช้จิตสาธารณะของมุสลิมในสังคมจะเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสอยู่กับความจริง การปลูกฝังอบรมการฝึกปฏิบัติ สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆโน้มน้าวจิตใจของบุคคลให้เกิดจิตสำนึกที่ถูกต้องและการสร้างจิตสาธารณะให้เกิดขึ้นในตัวบุคคล ดังนั้นสถาบันทางสังคมหลายภาคส่วนได้แก่ สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา และสถาบัน สื่อมวลชนจึงต้องเข้ามาร่วมมือกันสร้างจิตสาธารณะของคนในสังคม</p> <p>2.การมีจิตสาธารณะในอิสลามนั้นจำเป็นจะต้องนำหลักคำสอนทางศาสนามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในสังคม เนื่องจากการมีจิตสาธารณะและช่วยเหลือผู้อื่นนั้นถือเป็นคุณธรรมและความดีงามของมุสลิมที่จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องสร้างความเสียสละและความมีน้ำใจให้ติดเป็นกิจนิสัย ศาสนาอิสลามจึงมีแนวทางทมี่ส่งเสริมให้มุสลิมมีความตระหนักบนหนทางแห่งการมีจิตสาธารณะและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทุกๆด้าน ทั้งในด้านกำลัง คำพูด อาหาร ทรัพย์สิน การให้วิชาความรู้ การช่วยเหลือทั้งด้านดุนยาและด้านศาสนา โดยที่สิ่งเหล่านี้นั้นเริ่มต้นจากการมีน้ำใจ การแบ่งปันซึ่งกันและกัน การไม่เอาเปรียบต่อบุคคลอื่น และการเห็นเเก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ดังนั้นการนำหลักคำสอนเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในด้านจิตสาธารณะจึงเป็นรูปแบบหนึ่งในการช่วยเหลือและพัฒนาสังคมให้ดียิ่งขึ้นต่อไป</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>คำสำคัญ :</strong> จิตสาธารณะ, มุมมอง, อิสลาม.&nbsp;&nbsp;</p> ทนงศักดิ์ หมาดทิ้ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 29 39 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องสินค้าและบริการ โดยใช้วิธีการสอนรูปแบบ CIPPA MODEL ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1579 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สินค้าและบริการ โดยใช้การจัดเรียนการรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดินแดง ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องสินค้าและบริการ โดยใช้การจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดินแดง 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน เรื่องสินค้าและบริการ โดยใช้การจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดินแดง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านดินแดง จำนวน 7 คน การวิจัยครั้งนี้ใช้ประชากรทั้งหมด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามความพึงพอใจ และแผนการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สินค้าและบริการ โดยใช้การจัดเรียนการรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดินแดง ที่ เท่ากับ 90/89 มากกว่าเกณฑ์ที่กำหนดคือ 80/80 และเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</li> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สินค้าและบริการ โดยใช้การจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA Model) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</li> </ol> <p> </p> สุชานันท์ จงสุขกลาง จันทร์ ติยะวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 140 150 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์และความพึงพอใจทางการเรียน SAT Math เรื่อง Geometry and Trigonometry ด้วยวิธีการเรียนการสอนแบบ Active Learning สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1552 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลสัมฤทธิ์และความพึงพอใจทางการเรียน SAT Math เรื่อง Geometry and Trigonometry ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนด้วยวิธีการเรียนการสอนแบบ Active Learning กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โครงการนานาชาติ โรงเรียนนารีนุกูล จำนวน 15 คน โดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ SAT Math แบบ Active Learning แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ย SAT Math หลังเรียน (24.3) สูงกว่าก่อนเรียน (15.0) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 10.273, p-value &lt; .001) แสดงว่าการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning มีประสิทธิภาพในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน SAT Math ของนักเรียน</p> พงศ์ภัทร สิทธิสาตร์ คงศักดิ์ สังฆมานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 40 50 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจ เรื่อง งานเกษตร รายวิชาการงานอาชีพ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1565 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจ เรื่องงานเกษตร รายวิชาการงานอาชีพ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD เรื่องงานเกษตร รายวิชาการงานอาชีพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ โรงเรียนบ้านหนองไม้ตาย จำนวน 9 คน โดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามความพึงพอใจ และแผนการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางการเรียนและความพึงพอใจ เรื่องงานเกษตร รายวิชาการ</li> </ol> <p>งานอาชีพ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <ol start="2"> <li>ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD เรื่องงานเกษตร รายวิชาการงานอาชีพ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือด้านด้านกิจกรรมการเรียนรองลงมาคือด้านบรรยากาศ ด้านประโยชน์ที่ได้รับ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือด้านเนื้อหา</li> </ol> ์นิธิพร เ ขลาขุนทด จันทร์ ติยะวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 101 110 การศึกษาและการพัฒนาการเรียนรู้ศิลปะ เรื่อง ทัศนศิลป์สร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 2 https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1553 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและพัฒนาเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ทัศนศิลป์สร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ค่าดัชนีประสิทธิผลตามเกณฑ์ที่กำหนด เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนารีนุกูลสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนนารีนุกูลสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี ปีการศึกษา 2567 จำนวน 40 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เอกสารประกอบการเรียน มีค่าความสอดคล้อง IOC ระหว่าง 0.60-1.00 แผนการจัดการเรียนรู้ มีค่าความสอดคล้อง IOC ระหว่าง 0.80-1.00 แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีค่าความสอดคล้อง IOC เท่ากับ 1.00 ค่าความยาก ระหว่าง 0.30 -0.70 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.31 - 0.77 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.92 และแบบสอบถาม ความพึงพอใจมีค่า IOC เท่ากับ 1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความเที่ยงตรง ค่าความยาก ค่าอำนาจจำแนก ค่าความเชื่อมั่น ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) และค่าที (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li> เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ทัศนศิลป์สร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนารีนุกูลสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 80.25/90.17 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ </li> <li> ค่าดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ทัศนศิลป์สร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนารีนุกูลสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี เท่ากับ 0.79 โดยนักเรียนมีพัฒนาการมีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 79.00</li> <li> ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนารีนุกูลสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน</li> <li> ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทัศนศิลป์สร้างสรรค์ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนารีนุกูลสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี มีความพึงพอใจการเรียนรู้ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนโดยภาพรวมในระดับมาก</li> </ol> จันทรา ดูวา อดิศร บาลโรง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 51 62 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง คำควบกล้ำ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1567 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำควบกล้ำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ด้วยวิธีการสอนแบบ Active สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2)ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำควบกล้ำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ด้วยวิธีการสอนแบบ Active สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา ๒๕๖๗ โรงเรียนวัดปากด่าน จำนวน 30 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำควบกล้ำ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) แบบสอบถามวัดความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>นักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำควบกล้ำ ด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</li> <li>นักเรียนความพึงพอใจที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำควบกล้ำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ด้วยวิธีการสอนแบบ Active สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 </li> </ol> ธีรศักดิ์ ใจห้าว คงศักดิ์ สังฆมานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 111 119 การสื่อสารเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ OTOP: กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ท้องถิ่นสู่ตลาดดิจิทัล https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1534 <p> การสื่อสารเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ OTOP ในยุคดิจิทัลเป็นความท้าทายสำคัญที่ผู้ประกอบการท้องถิ่นต้องเผชิญ บทความนี้มุ่งวิเคราะห์กลยุทธ์การสื่อสารและการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ OTOP ในบริบทของตลาดดิจิทัล โดยศึกษาผ่านแนวคิดการสร้างแบรนด์ท้องถิ่นและการสื่อสารการตลาดดิจิทัล ผลการวิเคราะห์พบว่าปัจจัยสำคัญในการสร้างความสำเร็จประกอบด้วย (1) การสร้างเอกลักษณ์แบรนด์ที่สะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่น (2) การใช้เรื่องราวและคุณค่าของผลิตภัณฑ์ในการสื่อสาร (3) การผสมผสานช่องทางการสื่อสารดิจิทัลที่หลากหลาย และ (4) การสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ขณะเดียวกัน ยังพบความท้าทายด้านทักษะดิจิทัล การจัดการทรัพยากร และการรักษาอัตลักษณ์ท้องถิ่น บทเรียนจากการศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารสำหรับผลิตภัณฑ์ชุมชนในยุคดิจิทัล</p> นายเศกสรรค์ วรรณพงษ์ สุภาภรณ์ ศรีดี หฤทัย ปัญญาวุธตระกูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 20 28 นวัตกรรมการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน : กรณีศึกษาการใช้สื่อดิจิทัลของชุมชนท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1532 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์นวัตกรรมการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ผ่านการวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชุมชนท่องเที่ยวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 แห่ง ได้แก่ ชุมชนบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ชุมชนวัฒนธรรมผู้ไท จังหวัดกาฬสินธุ์ และชุมชนท่องเที่ยวบ้านภู จังหวัดมุกดาหาร ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยความสำเร็จในการใช้นวัตกรรมการสื่อสารของชุมชนประกอบด้วย 1) การผสมผสานระหว่างทุนทางวัฒนธรรมกับเทคโนโลยีดิจิทัล 2) การสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาสื่อ 3) การพัฒนาทักษะดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง และ 4) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ บทความนี้นำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การสนับสนุนการพัฒนาทักษะ และการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่เอื้อต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน</p> <p> </p> นายเศกสรรค์ วรรณพงษ์ สุภาภรณ์ ศรีดี หฤทัย ปัญญาวุธตระกูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 1 12 การสื่อสารนโยบายสาธารณะในภาวะวิกฤต: บทเรียนจากการบริหารจัดการ โควิด-19 https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1533 <p> การสื่อสารนโยบายสาธารณะในภาวะวิกฤตถือเป็นกลไกสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานการณ์ บทความนี้มุ่งวิเคราะห์รูปแบบและประสิทธิผลของการสื่อสารนโยบายสาธารณะในช่วงการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย โดยศึกษาผ่านกรอบแนวคิดการสื่อสารความเสี่ยงและการจัดการภาวะวิกฤต ผลการวิเคราะห์พบว่าปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการสื่อสารนโยบาย ประกอบด้วย (1) ความชัดเจนและความถูกต้องของข้อมูล (2) ความรวดเร็วและความสม่ำเสมอในการสื่อสาร (3) การบูรณาการช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย และ (4) การสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ขณะเดียวกัน ยังพบความท้าทายสำคัญ ได้แก่ การจัดการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การรับมือกับข่าวปลอม และการสร้างความเชื่อมั่นในนโยบาย บทเรียนที่ได้จากการศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนการสื่อสารนโยบายสาธารณะสำหรับภาวะวิกฤตในอนาคต</p> นายเศกสรรค์ วรรณพงษ์ สุภาภรณ์ ศรีดี หฤทัย ปัญญาวุธตระกูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม 2025-09-06 2025-09-06 1 4 13 19