https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/issue/feed
วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม
2025-02-28T22:15:31+07:00
อาจารย์ ดร.มาโนทย์ มาปะโท
journal.research.edu@gmail.com
Open Journal Systems
<p> กำหนดออกวารสารปีละ 6 ฉบับ เป็นราย 2 เดือน</p> <p> ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - กุมภาพันธ์ (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 28 กุมภาพันธ์)<br /> ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม - เมษายน (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 30 เมษายน)<br /> ฉบับที่ 3 เดือน พฤษภาคม - มิถุนายน (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 30 มิถุนายน)<br /> ฉบับที่ 4 เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 31 สิงหาคม)<br /> ฉบับที่ 5 เดือนกันยายน – ตุลาคม (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 31 ตุลาคม)<br /> ฉบับที่ 6 เดือน พฤศจิกายน – ธันวาคม (เผยแพร่ทางเว็บไซต์ 31 ธันวาคม)</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : <br /></strong><span style="font-weight: 400;"> วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านการศึกษา โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</span></p>
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1328
การสร้างความสัมพันธ์ของโรงเรียนกับชุมชน กลุ่มเครือข่ายประโคนชัย 3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
2025-02-13T13:09:13+07:00
มิชาดา สมบัณย์
michadaya43@gmail.com
องอาจ เทียมกลาง
Ongart@nmc.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการสร้างความสัมพันธ์ของโรงเรียนกับชุมชน กลุ่มเครือข่ายประโคนชัย 3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู ผู้สอน จำนวน 110 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกนและสุ่มแบบสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratifed random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.94 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1. การสร้างความสัมพันธ์ของโรงเรียนกับชุมชน กลุ่มเครือข่ายประโคนชัย 3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 อยู่ในระดับมาก</p> <p> 2. ผลการเปรียบเทียบตามตัวแปรการการสร้างความสัมพันธ์ของโรงเรียนกับชุมชน กลุ่มเครือข่ายประโคนชัย 3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 จำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 3. ผลการเปรียบเทียบตามตัวแปรการการสร้างความสัมพันธ์ของโรงเรียนกับชุมชน กลุ่มเครือข่ายประโคนชัย 3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-02-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1149
ผลกระทบที่ประชาชนได้รับจากช้างป่าในเขตตำบลท่ากระดาน จังหวัดกาญจนบุรี
2024-11-30T10:04:26+07:00
สุภัสสรา จันหอม
suphatsara100447@gmail.com
อุทุมพร เอี่ยมพันธ์ฉิม
pkad244@gmail.com
รจนาภรณ์ ศรีช่วงโชติ
p_narploy@kru.ac.th
<p> การศึกษางานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาของช้างป่าในประเทศไทยและในเขตตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี 2) ศึกษาผลกระทบที่ประชาชนได้รับจาก ช้างป่าในเขตตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นงานวิจัยแบบเชิงปริมาณ (Quantitative Research) มีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ประชากรจำนวน 357 คน ที่มาจากการคำนวณโดยใช้ตารางสำเร็จรูปสำหรับใช้ในการกำหนดขนาดตัวอย่างตามวิธีของ (Krejcie & Morgan, 1970) ที่มีระดับความคลาดเคลื่อน 0.05 ที่มาจากการสุ่มตัวอย่าง แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์ โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาประกอบด้วย การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบโดยการนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li>ระดับผลกระทบที่ช้างป่าเข้ามาในเขตพื้นที่ส่งผลกระทบด้านที่อยู่อาศัย มีค่าเฉลี่ยโดยรวมทั้งหมดเป็น 2.06 อยู่ในระดับที่น้อย</li> <li>ระดับผลกระทบที่ช้างป่าเข้ามาส่งผลต่อรายได้และผลผลิตด้านเศรฐกิจ มีค่าเฉลี่ยโดยรวมทั้งหมดเป็น 2.33 อยู่ในระดับที่น้อย</li> <li>ระดับผลกระทบที่ช้างป่าเข้ามาส่งผลทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในทรัพย์สินและการใช้เส้นทางด้านความปลอดภัย มีค่าเฉลี่ยโดยรวมทั้งหมดเป็น 2.42 อยู่ในระดับที่น้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผลกระทบที่ประชาชนได้รับจากช้างป่าในเขตตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ใน 3 ด้านนี้ มีผลกระทบด้านความปลอดภัยที่มีระดับค่าเฉลี่ยสูงกว่าทั้ง 2 ด้าน</li> </ol>
2025-02-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1336
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายประโคนชัย 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
2025-02-13T13:12:07+07:00
ชลธิชา ทองมี
6604033200159@nmc.ac.th
องอาจ เทียมกลาง
Ongart@nmc.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายประโคนชัย 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 จำแนกตามระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน บุคลากรทางการศึกษาจำนวน 110 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.93 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายประโคนชัย 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 อยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายประโคนชัย 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 จำแนกตามระดับการศึกษาโดยภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล และด้านการทำงานเป็นทีม</li> <li>ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายประโคนชัย 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้น ด้านการมีความยืดหยุ่นและปรับตัว ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ และด้านการทำงานเป็นทีม</li> </ol>
2025-02-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1229
ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3
2025-01-10T16:40:41+07:00
ทวีศักดิ์ แก้วสมปอง
subsaithong201185@gmail.com
ประดิษฐ์ ฉัตรจรัสกูล
6604033200153@nmc.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 2) เปรียบเทียบทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ปีการศึกษา 2567 จำนวน 132 คน โดยทำการสุ่มแบบชั้นภูมิตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น 0.95 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Objective Congruence : IOC) อยู่ระหว่าง 0.67- 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยได้แก่ ทักษะทางความรู้ความคิด ทักษะทางมนุษย์สัมพันธ์ ทักษะทางเทคนิควิธี ทักษะทางการศึกษาและการสอน และทักษะทางความคิดรวบยอด </li> <li>ผลการเปรียบเทียบทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาวังน้ำเขียวสามัคคี จำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกันยกเว้นทักษะทางมนุษย์สัมพันธ์และทักษะทางเทคนิควิธีที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol>
2025-02-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1337
การบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มสหวิทยศึกษาลำพญา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 2
2025-02-13T13:17:00+07:00
เกศินี เ ย็นสมุทร
6604033200154@nmc.ac.th
ประดิษฐ์ ฉัตรจรัสกูล
pradit_chat@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มสหวิทยศึกษาลำพญา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 2 2) เปรียบเทียบการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มสหวิทยศึกษาลำพญา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 2 จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนกลุ่มสหวิทยศึกษาลำพญา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 113 คน โดยผู้วิจัยได้กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น 0.84 ค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ระหว่าง 0.67- 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที(t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มสหวิทยศึกษาลำพญา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li> ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มสหวิทยศึกษาลำพญา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 2 จำแนกตาม ระดับการศึกษา โดยภาพรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้น ด้านการสรรหาบุคลากร ด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน และด้านการลาออก ไม่แตกต่างกัน ส่วนประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ยกเว้น ด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน และด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol>
2025-02-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1230
การบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ กลุ่มโรงเรียนลำปลายมาศ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1
2025-01-14T10:27:26+07:00
ปิยาวัชร คะเรรัมย์
6604033200143@nmc.ac.th
ประดิษฐ์ ฉัตรจรัสกูล
6604033200143@nmc.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเพื่อเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ กลุ่มโรงเรียนลำปลายมาศ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 จำแนกตามระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 105 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li> การบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ กลุ่มโรงเรียนลำปลายมาศ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 อยู่ในระดับมาก</li> <li> ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ กลุ่มโรงเรียน ลำปลายมาศ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 จำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นด้านการมุ่งเน้นบุคลากรไม่แตกต่างกัน</li> <li>3ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ กลุ่มโรงเรียน ลำปลายมาศ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol>
2025-02-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1338
การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา
2025-02-13T13:05:08+07:00
Rujee Pisnok
6604033200176@nmc.ac.th
คัมภีร์ สุดแท้
Khambhee@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) เปรียบเทียบการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ในทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทราปีการศึกษา 2567 จำนวน 121 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการศึกษาการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา อยู่ในระดับมาก</li> <li>2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา จำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน ยกเว้นด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลและด้านการส่งเสริมนักเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นด้านการคัดกรองนักเรียนและด้านการส่งเสริมนักเรียน ไม่แตกต่างกัน</li> </ol>
2025-02-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1231
แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูผู้สอน กลุ่มโรงเรียนปากช่อง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4
2025-01-14T10:26:45+07:00
ธีรภัทร์ โพธิ์สุวรรณ
6604033200152@nmc.ac.th
ประดิษฐ์ ฉัตรจรัสกูล
6604033200152@nmc.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูผู้สอน กลุ่มโรงเรียนปากช่อง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 2) เปรียบเทียบแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูผู้สอน กลุ่มโรงเรียนปากช่อง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 จำแนกตามระดับการศึกษา และประสบการณ์ ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ ครูผู้สอน กลุ่มโรงเรียนปากช่อง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 ในปีการศึกษา 2567 จำนวน 144 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.90 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p>
2025-02-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1341
ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาหินดาดห้วยบง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5
2025-02-13T13:15:25+07:00
์ณัฐณิชา อร่ามเรือง
6604033200129@nmc.ac.th
วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม
wiralphat@nmc.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาหินดาดห้วยบง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาหินดาดห้วยบง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 จำแนกตามระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ ครูผู้สอน ศูนย์พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาหินดาดห้วยบง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 ในปีการศึกษา 2567 จำนวน 99 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 - 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.89 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาหินดาดห้วยบง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ผลจากการเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาหินดาดห้วยบง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</span></p>
2025-02-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/Interdisciplinary/article/view/1147
แนวทางการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กสมาธิสั้น แหล่งการเรียนรู้ PlayGroup Siamsaamtri
2024-11-30T10:07:05+07:00
ปิยะรัตน์ เดชแสง
sofarjung@gmail.com
อนินทิตา โปษะกฤษณะ
sofarjung@gmail.com
นิสสรณ์ บำเพ็ญ
sofarjung@gmail.com
<p>ในปัจจุบันภาวะสมาธิสั้นในเด็กเพิ่มมากขึ้น องค์กรอนามัยโลกให้ความสำคัญกับภาวะสมาธิสั้นในเด็กมาก หากไม่ให้การดูแลอย่างเข้าใจตั้งแต่วัยเด็ก จะส่งผลต่ออนาคตของเด็ก อาจถูกทำร้าย มีอาการหุนหันพลันแล่น อยู่ไม่สุข ควบคุมตัวเองไม่ได้ทำร้ายผู้อื่นผลการสำรวจของกรมสุขภาพจิต ปี 2559 รายงานผู้ป่วยมารับบริการด้านจิตเวช ข้อมูลจากคลังข้อมูลทางการแพทย์และสุขภาพ กระทรวง สาธารณสุข (HDC) พบผู้ป่วยที่เป็นโรคสมาธิสั้น จำนวน 603 คน หากพบว่ามีคนใกล้ชิดมีอาการขาดสมาธิ หุนหันพลันแล่น หรืออยู่ไม่นิ่ง ให้รีบนำผู้ใกล้ชิดพบแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัย รักษา เนื่องหากไม่ได้รับการรักษาเมื่อโตขึ้น อาจมีโอกาสที่กลายเป็นวัยรุ่นที่เกเร และต่อต้านสังคม ได้มากกว่าเด็กปกติ 3 – 4 เท่าตัว จะควบคุมอารมณ์ และความต้องการของตัวเองได้น้อย เสี่ยงต่อการถูกชักจูงให้ใช้สารเสพติดได้ง่าย และเป็นปัญหาสังคมต่อไปในอนาคต (สถาบันราชานุกูล, 2559)</p> <p> ในปี 2566 กรมสุขภาพจิต รายงานผู้ป่วยมารับบริการด้านจิตเวช ข้อมูลจากคลังข้อมูลทางการแพทย์และสุขภาพ กระทรวง สาธารณสุข (HDC) พบผู้ป่วยที่เป็นโรคสมาธิสั้น จำนวน 121,245 คน พบว่าจากระยะเวลา ตั้งแต่ปี 2559 – 2566 รวมระยะเวลา 8 ปี มีอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยที่เป็นโรคสมาธิสั้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมปัจจุบัน เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะภายในครอบครัว ภายในห้องเรียน (ระบบระบบศูนย์กลางการให้บริการผู้ป่วยจิตเวชของประเทศไทย กรมสุขภาพจิต ข้อมูลจากคลังข้อมูลการแพทย์และสุขภาพ (กระทรวงสาธารณสุข (HDC), 2566)</p> <p> เพื่อช่วยบำบัด และปรับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผู้วิจัยจึงหาแนวทางในการศึกษาแหล่งเรียนรู้สำหรับเด็กสมาธิสั้น กรณีศึกษา Playgroup Siamsaamtri ผ่านกิจกรรมบำบัด และปรับพฤติกรรม ในรูปแบบแหล่งเรียนรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นโรงเรียนเอกชนในชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการปรับพฤติกรรม ฝึกสมาธิ ฝึกการควบคุมตนเอง ผ่านกิจกรรมบำบัด ด้านงานศิลปะ งานประดิษฐ์ การทำอาหาร ฐานเล่นน้ำเล่นทราย ฐานออกกำลังกาย ในรูปแบบการฝึกสมาธิ ความอดทน การจดจ่อ ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมพัฒนาตนเองให้เข้ากับคนในสังคมในอนาคตได้และเป็นแหล่งเรียนรู้ ให้ความรู้แก่เด็ก และคนในชุมชน</p>
2025-02-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการศึกษาและพัฒนาสังคม